
นพ.อาคม ชัยวีระวัฒนะ ผอ.รพ.เมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) กล่าวว่า ต้อหินเป็นโรคที่มีการทำลายของประสาทตาทำให้สูญเสียการมองเห็นตาบอดได้ โดยทั่วไปผู้ป่วยโรคต้อหินมักจะมีความดันลูกตาสูงกว่าปกติซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีการทำลายของประสาทตา ซึ่งถ้าปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษา ประสาทตาก็จะถูกทำลายลงเรื่อย ๆ จนทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร แต่ถ้าได้รับ การวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่น ๆ และรักษาอย่างทันท่วงทีก็จะสามารถรักษาการมองเห็นไว้ได้
พญ.กุลวรรณ โรจนเนืองนิตย์ นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ กล่าวเสริมว่า โรคต้อหินมี 2 ชนิด คือ
1. โรคต้อหินมุมเปิดเป็นอาการชนิดเรื้อรังในระยะแรกของต้อหินจะไม่มีอาการผิดปกติใดๆ เพราะในระยะแรกของโรคการสูญเสียลานสายตาจะเกิดที่บริเวณรอบนอกก่อน เมื่อโรคดำเนินไปมากขึ้นจึงจะเสียลานสายตาในส่วนตรงกลางซึ่งกระทบต่อการมองเห็นจนผู้ป่วยสังเกตความผิดปกติได้ ลานสายตาจะค่อยๆแคบลงจนตาบอดในที่สุด
2. โรคต้อหินมุมปิดชนิดเฉียบพลัน อาการจะปวดตา ตาแดง และตามัวอย่างรวดเร็ว การวินิจฉัยโรคอาศัยข้อมูลพื้นฐานจากากรซักประวัติ การตรวจขั้วประสาทตา ตรวจลานสายตา และการวัดความดันลูกตา อย่างไรก็ตามผู้ป่วยต้อหินส่วนใหญ่มักได้รับการวินิจฉัยโรคจากการตรวจพบโดยบังเอิญในการตรวจตา ในส่วนของการรักษาโรคต้อหินนั้นหลักการรักษาคือการยับยั้งการสูญเสีย ขั้วประสาทตาหรือลานสายตา เพื่อคงสภาพการมองเห็นเดิมไว้ โดยในปัจจุบันการลดความดันตาเป็นวิธีที่ได้รับการพิสูจน์และเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางว่าสามารถควบคุมโรคต้อหินได้ การลดความดันลูกตามีหลายวิธีซึ่งความเหมาะสมที่จะใช้รักษาแตกต่างกันไปในแต่ละราย ประกอบด้วยการใช้ยาหยอด ยากิน ยาฉีด และการใช้แสงเลเซอร์ หรือการผ่าตัด เป็นต้น ส่วนการรักษาโดยวิธีการนวดตานั้นยังไม่มีหลักฐานว่าสามารถรักษาโรคต้อหินได้ แนะนำควรปรึกษาจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อความปลอดภัยกับดวงตา อย่างไรก็ตามต้อหินเป็นโรคที่ทำให้เกิดการสูญเสียสายตาแบบถาวร และรักษาไม่หายขาด แต่สามารถควบคุมโรคเพื่อคงสภาพการมองเห็นและคุณภาพชีวิตที่ดีได้ ดังนั้นจึงแนะนำให้ผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่อยู่ในกลุ่มปัจจัยเสี่ยงของโรคต้อหิน เข้ารับการตรวจคัดกรองดวงตาอย่างน้อย ปีละ 1 ครั้ง เพื่อว่าหากตรวจพบรอยโรคก่อนสามารถป้องกันตาบอดได้