Skip ไปที่เนื้อหา

ยาลดไขมันในเลือดมีอะไรบ้าง ผลข้างเคียงของยาลดไขมันในเลือด

เว็บบอร์ดสุขภาพ ข่าวสารความรู้สุขภาพ กระทู้สุขภาพ เคล็ดลับสุขภาพ ถาม-ตอบปัญหาสุขภาพ
  • SukapabDee.com
  • โพสต์: 0
  • ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 13 มี.ค. 2011 12:39 am

ยาลดไขมันในเลือดมีอะไรบ้าง ผลข้างเคียงของยาลดไขมันในเลือด

 โพสต์ SukapabDee.com    6798

ความรู้เกี่ยวกับยาลดไขมันในเลือด ยาลดไขมันในเลือดมีอะไรบ้าง ผลข้างเคียงของยาลดไขมันในเลือด
ยาลดไขมันในเลือดที่มีใช้ในปัจจุบันมีหลายกลุ่ม ได้แก่
ยาลดไขมันในเลือดกลุ่ม Statins
ยากลุ่มนี้เป็นกลุ่มเด่นมากในการลดไขมันโคเลสเตอรอล นอกจากลดไขมันโคเลสเตอรอลได้ดีแล้ว ยังเชื่อว่ามีผลดีต่อหลอดเลือดแดง โดยกลไกไม่เกี่ยวข้องกับการลดไขมันด้วย ยากลุ่มนี้มีด้วยกันหลายชนิด เช่น Fluvastatin Atorvastatin Pravastatin Simvastatin Cerivastatin (ปัจจุบันไม่มี Cerivastatin จำหน่ายแล้ว) และ Rosuvastatin (ยังไม่มีจำหน่าย) สามารถลดระดับโคเลสเตอรอล และ แอล-ดี-แอล โคเลสเตอรอล ได้ดีมาก คือ 25-40% (ขึ้นกับชนิด และขนาดยา) เพิ่มเอช-ดี-แอล 6-10% ลด ไตรกลีเซอไรด์ได้ 10-20% ยานี้จึงควรใช้เป้นกลุ่มแรก สำหรับผู้ที่มีไขมันโคเลสเตอรอลสูง สำหรับผลแทรกซ้อนที่สำคัญ คือ ตับอักเสบ (ค่า SGOT/SGPT ขึ้นสูงเล็กน้อย) พบได้น้อยประมาณ 1 ใน 15,000 ราย และกล้ามเนื้ออักเสบรุนแรง (Phabdomyolysis) 1 ใน 30,000 ราย ซึ่งนับว่าต่ำมาก แต่ก็ต้องระวัง โดยเฉพาะการใช้ยานี้ร่วมกับยากลุ่ม Fibrates และไม่ควรใช้ยากลุ่มนี้ในผู้ป่วยโรคตับ

ยาลดไขมันในเลือดกลุ่ม Fibrates
ชื่อสามัญ เช่น Gemfibrozil Bezafibrate Fenofibrate ได้ผลดีในการลดไขมันไตรกลีเซอไรด์ ลดลงได้ 20-40% ขึ้นกับขนาดยาลดโคเลสเตอรอลได้น้อยมาก (8-10%) จนไม่ควรใช้เป็นตัวยาแรกในโคเลสเตอรอล เพิ่ม เอช-ดี-แอล โคเลสเตอรอล 10-15% จึงเหมาะในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มักจะมีไขมันไตรกลีเซอไรด์สูง และ เอช-ดี-แอล ต่ำ ผลแทรกซ้อนที่สำคัญ คือ อาจเกิดนิ่วในถุงน้ำดีเพิ่มขึ้นได้ (แต่พิสูจน์ยังไม่ได้ชัดเจน) ไม่ควรใช้ยานี้ในผู้ป่วยโรคตับ

ยาลดไขมันในเลือดกลุ่ม Niacin
เป็นที่ทราบกันมานานแล้วว่า Nicotinic Acid หรือ Niacin สามารถลดไขมันในเลือดได้ทั้งโคเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไลด์ สามารถเพิ่มไขมัน เอช-ดี-แอล ได้มากที่สุดในบรรดายาที่มีอยู่ แต่ไม่เป้นที่นิยมใช้ เนื่องจากผลแทรกซ้อนจากยามีมาก ปัจจุบันมีการพัมนารูปแบบของยาเป้นชนิดออกฤทธิ์นาน ทำให้ผลแทรกซ้อนลดลง Niacin ลด แอล-ดี-แอล โคเลสเตอรอล ได้ 20-30% ลดไตรกลีเซอไรด์ 20-50% เพิ่มเอช-ดี-แอล ได้มากถึง 15-35% ผลแทรกซ้อนที่พบคือ อาการร้อนวูบวาบเนื่องจากการขยายหลอดเลือดแดง ความดันโลหิตต่ำ น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น หรือควบคุมได้มากขึ้น กรดยูริคสูงขึ้น แต่ที่น่ากลัว คือ ตับอักเสบรุนแรง ปัจจุบันยานี้ในรูปแบบออกฤทธิ์นาน ยังไม่มีจำน่ายในประเทศไทย

ยาลดไขมันในเลือดกลุ่ม กลุ่มอื่นๆ
Orilstat เป็นยาที่ใช้ลดน้ำหนัก ออกฤทธิ์โดยยับยั้งการดูดซึมของไขมันที่รับประทานเข้าไปในลำไส้ โดยลดการดูดซึมของไขมันเข้าร่างกายได้ประมาณ 30% เมื่อไขมันจากอาหารเข้าร่างกายลดลงผลพลอยได้ประการหนึ่ง คือไขมันโคเลสเตอรอลในเลือดลดลงด้วยประมาณ 8-10% ยานี้มีผลข้างเคียงที่ไม่รุนแรง ไม่เป็นอันตราย แต่รำคาญ เช่น ท้องอืด ลมมาก ผายลมบ่อย อุจจาระเป็นน้ำมัน เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ในบางรายจำเป็นต้องรับประทานยาเพื่อลดไขมันในเลือด เพื่อหวังผลในการลดการสะสมของไขมันในหลอดเลือดแดง และลดปัญหาการแทรกซ้อนทางหลอดเลือดที่อาจเกิดขึ้น

Fish Oils (Omega-3-Polyunsaturates) น้ำมันปลา ที่มีส่วนผสมของ EPA และ DHA ในขนาดสูง สามารถลดไขมันไตรกลีเซอไรด์ได้พอสมควร แต่ไม่มีผลลดไขมันโคเลสเตอรอล ผลแทรกซ้อนที่สำคัญ คือ เกิดเลือดออกง่ายขึ้น จึงไม่ควรใช้ร่วมกับยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Warfarin, Orfarin) และควร ระวังการใช้น้ำมันปลาร่วมกับแอสไพริน ผลแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น เรอเป็นกลิ่นปลา ท้องอืด ท้องเสีย คลื่นไส้อาเจียน แต่พบไม่บ่อยนัก

Ezetimibe เป็นยาที่อยู่ระหว่างการศึกษา ยังไม่ได้รับอนุญาตให้จำหน่าย ยานี้น่าสนใจเพราะยับยั้งการดูดซึมของไขมันโคเลสเตอรอลในลำไส้ โดยที่ยาไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย พบว่าสามารถลด แอล-ดี-แอล โคเลสเตอรอล ได้ประมาณ 18-20% หากให้ร่วมกับยากลุ่ม Statins จะลด แอล-ดี-แอล ได้มากขึ้นเป็น 50%
อาหารที่มีกาก หรือ เส้นใยอาหารมาก จะช่วยในการดูดซับ ไขมันจากอาหาร ลดการดูดซึมไขมันเช่นกัน เช่น ข้าวกล้อง เป็นต้น

ผลแทรกซ้อนจากยากลุ่มสแตตินมีได้เช่นเดียวกันกับยาทุกชนิด ที่เด่นคือ ค่าเอนไซมย์ตับ (SGOT/SGPT) และ เอนไซมย์กล้ามเนื้อ (CPK) สูงขึ้น ซึ่งอาจบ่งถึงการอักเสบหรือไม่ก็ได้ น้อยรายมากที่จะเกิดอาการของ ?ตับอักเสบ? ชัดเจน หรือ กล้ามเนื้ออักเสบรุนแรง เรียกได้ว่าโอกาสเกิดกรณีเช่นนั้นพบได้น้อยกว่าร้อยละ 1 หากค่า SGOT/SGPT สูงขึ้นกว่าเดิมไม่เกิน 3 เท่า หรือ CPK สูงขึ้นไม่เกิน 10 เท่าก็ไม่จำเป็นต้องหยุดยาแต่ประการใด อย่างไรก็ตาม ค่าต่างๆเหล่านี้อาจสูงขึ้นได้บ่อยๆในบางรายแม้ไม่รับประทานยา ดังนั้นค่าที่ผิดปกติไม่ได้หมายความว่าจะเกิดจากยาเสมอไป ผู้ที่รับประทานยากลุ่มนี้ควรตรวจค่าเอนไซมย์ดังกล่าวเป็นระยะๆ และ พบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการผิดปกติต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปวดกล้ามเนื้อรุนแรง ขาไม่มีแรงลุก เดิน เป็นต้น ผลแทรกซ้อนจากยาอาจพบสูงขึ้นได้หากไม่ระมัดระวัง เช่น การรับประทานยากลุ่มนี้บางตัวร่วมกับยาปฏิชีวนะบางชนิดอาจเสริมกัน ทำให้ระดับยาในเลือดสูงขึ้นมากจนเป็นอันตราย จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรับประทานยาใดๆ นอกจากนั้นพันธุกรรมยังมีบทบาทด้วย บางรายมี ?ยีน? ที่ส่งเสริมการเกิดกล้ามเนื้ออักเสบรุนแรงซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็ไม่ควรได้ รับยากลุ่มนี้อีกต่อไป

อาการปวดกล้ามเนื้อเล็กน้อย หรือ ตะคริว เป็นอาการที่พบบ่อย โดยผลเลือดมักจะปกติ อาการเช่นนี้อาจเกี่ยวข้องกับยาหรือไม่ก็ได้ หากมีอาการดังกล่าว แพทย์อาจทดลองให้หยุดยาชั่วคราวแล้วดูอาการ หรือ ลดขนาดยา หรือ แนะนำให้รับประทานยาอื่นๆแก้ไขตามอาการ การให้ Co Q10 รับประทานในบางรายอาจช่วยลดอาการตะคริวได้
  • SukapabDee.com
  • โพสต์: 0
  • ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 13 มี.ค. 2011 12:39 am

Re: ยาลดไขมันในเลือดมีอะไรบ้าง ผลข้างเคียงของยาลดไขมันในเลือ

 โพสต์ SukapabDee.com    6798

ประสิทธิภาพของยากลุ่มสแตติน
เนื่องจากไขมันในเลือดที่ สำคัญมี 2 ชนิดคือคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ แต่ตัวที่เป็นปัญหามากที่สุดคือคอเลสเตอรอล เพราะถ้าระดับคอเลสเตอรอลสูง จะส่งผลทำให้เสี่ยงต่อความผิดปกติของหลอดเลือด เกิดการสะสมคราบไขมันในรูของหลอดเลือด ซึ่งเป็นท่อไหลเดินทางของเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบตัน และเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้น้อยลง ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมองได้

การเปรียบเทียบ ประสิทธิภาพของยาลดระดับไขมัน ในเลือดส่วนใหญ่พิจารณาผลของยาที่มีต่อคอเลสเตอรอล ซึ่งแยกย่อยเป็นองค์ประกอบของคอเลสเตอรอลได้เป็น 3 ชนิดคือ
1. ระดับคอเลสเตอรอลรวม (total cholesterol หรือย่อว่า TC)
2. ระดับแอลดีแอล (low density lipoprotein หรือย่อว่า LDL-C)
3. ระดับเอชดีแอล (high density lipoprotein หรือย่อว่า HDL-C)

ผู้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลปกติ ควรมีค่า TC น้อยกว่า 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (มก./ดล.) มีค่าแอล-ดีแอล-คอเลสเตอรอล (LDL-C) น้อยกว่า 100 มก./ดล. และมีค่าเอชดีแอล-คอเลสเตอรอล (HDL-C) ตั้งแต่ 40 มก./ดล.ขึ้นไป

ข้อสังเกตว่าคนปกติควรรักษาระดับ TC ให้ไม่เกิน 200 มก./ดล. และ LDL-C ให้ไม่เกิน 100 มก./ดล. ยิ่งมีค่าทั้ง 2 นี้ยิ่งน้อยยิ่งดี บางครั้งจึงเรียก แอลดีแอล-คอเลสเตอรอลว่า "ไขมันไม่ดี" แต่ตรงกันข้ามควรเพิ่มระดับเอชดีแอล-คอเลสเตอรอลให้มีค่าตั้งแต่ 40 มก./ดล.ขึ้นไป ยิ่งมีค่านี้ยิ่งมากยิ่งดี จึงเรียกเอชดีแอล-คอเลสเตอรอลว่า "ไขมันดี"
หมอชาวบ้าน
 ยาลดไขมันในเลือดมีอะไรบ้าง ผลข้างเคียงของยาลดไขมันในเลือด
 เว็บบอร์ดสุขภาพ ข่าวสารความรู้สุขภาพ กระทู้สุขภาพ เคล็ดลับสุขภาพ ถาม-ตอบปัญหาสุขภาพ
ตอบกลับโพสต์
เครื่องกดนับแยกชนิดเม็ดเลือดขาว Genius Count DiffCount