Skip ไปที่เนื้อหา

ไข้เลือดออก อาการไข้เลือดออกและการป้องกันไข้เลือดออก

เว็บบอร์ดสุขภาพ ข่าวสารความรู้สุขภาพ กระทู้สุขภาพ เคล็ดลับสุขภาพ ถาม-ตอบปัญหาสุขภาพ
  • SukapabDee.com
  • โพสต์: 0
  • ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 13 มี.ค. 2011 12:39 am

ไข้เลือดออก อาการไข้เลือดออกและการป้องกันไข้เลือดออก

 โพสต์ SukapabDee.com    3469

ไข้เลือดออก อาการไข้เลือดออกและการป้องกันไข้เลือดออก

ไข้เลือดออก มักจะพบและระบาดในช่วงฤดูฝน โดยมียุงลายเป็นตัวพาหะในการนำโรค ไข้เลือดออกเกิดจากเชื้อไวรัส หากมีอาการไข้สูงไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะอาการไข้สูงอาจเป็นอาการของหลาย ๆ โรคเช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หัด ปอดอักเสบ ไข้รากสาดน้อย ไข้ฉี่หนู หรืออาจเป็นอาการของโรคไข้เลือดออกที่เกิดจากเชื้อไวรัสเด็งกี่ และไวรัสชิกุนคุนยา ผู้ป่วยไข้เลือดออกส่วนมาก(ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์) จะมีสาเหตุจากเชื้อเด็งกี่ ดังนั้นเมื่อมีไข้สูงโดยเฉพาะไข้สูงที่เกิดกับเด็กเล็ก ๆ ควรรีบพาไปหาหมอโดยเร็ว

อาการของไข้ เลือดออกจะแบ่งเป็น 3 ระยะคือ
1. อาการไข้เลือดออกระยะมีไข้สูง ผู้ป่วยไข้เลือดออกจะมีไข้สูงขึ้นแบบฉับพลัน แม้กินยาลดไข้ก็ไม่ดีขึ้น ปวดศีรษะ หน้าแดง ตาแดง มีอาการซึมและกระหายน้ำ อาเจียนและเบื่ออาหาร กินอาหารไม่ค่อยได้ ประมาณ 2-3 วัน อาจมีผื่นแดงขึ้นตามแขน ขา ลำตัว บางคนจะมีจุดเลือดออกเป็นจุดแดงเล็ก ๆ ตามหน้า แขน ขา ซอกรักแร้และในช่องปาก ผู้ป่วยไข้เลือดออกจะมีไข้สูงอยู่ประมาณ 2-7 วัน ถ้าไม่มีอาการรุนแรงส่วนมากไข้จะลดลงในวันที่ 5-7 แต่ถ้าเป็นมากก็จะเข้าสู่อาการไข้เลือดออกระยะที่ 2

2. อาการไข้เลือดออกระยะช็อคและมีเลือดออก อาการไข้จะเริ่มลดลง แต่อาการของผู้ป่วยกลับจะทรุดหนัก ซึมมากขึ้น ปวดท้องและอาเจียนบ่อยขึ้น เหงื่อออก ตัวเย็น มือ-เท้าเย็น ความดันต่ำ ซึ่งเป็นอาการของภาวะช็อกจากไข้เลือดออก อาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 3-7 ของโรค ถือว่าเป็นช่วงวิกฤติของผู้ป่วยไข้เลือดออกเลยก็ว่าได้ การเปลี่ยนแปลงของอาการไข้เลือดออกในระยะนี้จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและ อันตรายมาก จึงต้องดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดซึ่งระยะนี้จะกินเวลาประมาณ 24-72 ชั่วโมง หากผู้ป่วยสามารถผ่านช่วงวิกฤตินี้ไปได้ ก็จะเข้าสู่ระยะที่ 3

3. อาการไข้เลือดออกระยะฟื้นตัว หลังจากผ่านอาการไข้เลือดออกในระยะที่ 2 (ช่วงวิกฤติ)มาแล้ว อาการจะดีขึ้นอย่างรวดเร็ว เริ่มฟื้นตัวเข้าสู่ภาวะปกติคือ เริ่มอยากกินอาหารและอาการต่าง ๆ จะหายไป ระยะนี้อาจกินเวลา 7-10 วัน(หลังจากผ่านระยะที่ 2 )


การป้องกันไข้เลือดออก การป้องกันไข้เลือดออกทำได้โดยการทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ตัวพาหะนำโรคคือยุง เช่น ปิดฝาโอ่งน้ำให้มิดชิด เปลี่ยนน้ำในแจกันดอกไม้ทุก 10 วัน จานรองตู้กับข้าวควรโรยเกลือแกงในน้ำที่จานรองตู้กับข้าว (2 ช้อนชาต่อน้ำ 1 แก้ว) เพื่อไม่ให้เป็นที่เพาะพันธุ์ของยุง ปรับพื้นที่บริเวณบ้านอย่าให้เป็นหลุมเป็นบ่อจนมีน้ำขังได้ นอนในมุ้งหรือมุ้งลวด ระวังอย่าให้ยุงกัด ให้ความรู้เรื่องวิธีการป้องกันไข้เลือดออกแก่คนในชุมชนเพื่อช่วยกันนำไป ปฏิบัติให้ถูกต้อง

การป้องกันไม่ให้เป็นไข้เลือดออกเป็นวิธีที่ดี ที่สุด แต่หากมีอาการไข้เลือดออกโดยเฉพาะอาการไข้สูง อย่าได้นิ่งนอนใจเพราะการมีไข้สูงถึงแม้จะไม่ใช่อาการของไข้เลือดออกก็อาจจะ เป็นอาการของโรคอื่น ๆ ที่มีอันตรายไม่แพ้กัน ให้รีบไปหาหมอเพื่อตรวจและรับการรักษาเพื่อสุขภาพที่ดีของทุก ๆ คน

Tags : โรคไข้เลือดออก, การระบาดของไข้เลือดออก, อาการไข้เลือดออก, การป้องกันไข้เลือดออก, การรักษาโรคไข้เลือดออก
  • SukapabDee.com
  • โพสต์: 0
  • ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 13 มี.ค. 2011 12:39 am

Re: ไข้เลือดออก อาการไข้เลือดออกและการป้องกันไข้เลือดออก

 โพสต์ SukapabDee.com    3469

โรคไข้เลือดออก เป็นโรคที่สร้างความสับสนให้กับทั้งแพทย์และคนไข้มากที่สุด ด้วยอาการที่เริ่มต้นด้วยลักษณะเช่นเดียวกับไข้หวัดธรรมดา ไปจนถึงไข้หวัดใหญ่ หรืออาจมีอาการไข้อย่างเดียวนำมาก่อน โดยไม่มีการออกอาการเฉพาะใดๆ ในวันแรกๆ หมอทั้งร้อยคน หากตรวจวินิจฉัยตามตำราย่อมแยกออกแทบไม่ได้ ต้องอาศัยการติดตาม ตัวคนไข้ว่าหากรักษาแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น นัดตรวจ ติดตามดูอาการอื่นๆ ที่จะปรากฏร่วมเช่น คลื่นไส้อาเจียน จนถึงปวดท้อง (ซึ่งก็คล้ายกับไข้หวัดลงกระเพาะลำไส้ อยู่ดี) ในระยะนี้ บางทีก็จะชวนสงสัยได้ยาก แม้รัดแขนก็อาจไม่สามารถบ่งได้ว่าเป็นไข้เลือดออก

ไข้เลือดออก กว่าจะมีอาการ "จำเพาะ" ของกลุ่มไวรัสนี้ก็เช่น เกร็ดเลือดต่ำ มีจุดเลือดออก หรือมีเลือดออกที่ต่างๆ ในร่างกาย ก็เป็นระยะท้ายๆ ที่มักมีอาการเปลี่ยนแปลงที่เร็วมาก แต่ยังโชคดีที่ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็น ไข้เด็งกี่ (Dengue Fever) แล้วกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ โดยไม่เข้าสู่สภาวะช็อก ที่เรียกว่า เด็งกี่ช็อกซินโดรม (Dengue Shock Syndrome- DSS) ที่เป็นเหตุให้เสียชีวิต ทำให้แพทย์ต้องเฝ้าใกล้ชิดในไอซียู แก้ปัญหาช็อกและต่อสู้กับกลไกเลือด ออกไม่หยุด ด้วยการที่สมดุลน้ำเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว รวมถึงให้เกร็ดเลือด (ซึ่งหาได้ยาก-แม้ กาชาดเองหรือโรงพยาบาลใหญ่ๆ ในกรุงเทพ ที่จะพอเหมาะเข้ากันได้กับคนไข้ ซ้ำยังต้องใช้ปริมาณมหาศาล และอาจหาไม่ได้เลยในรพ.ต่างจังหวัด)

ขณะช็อกคนไข้ต้องการน้ำเพื่อพยุงความดัน แต่หากกระบวนการช๊อกหยุด น้ำที่ให้เพื่อแก้อาการช๊อกเป็นลิตรๆ ที่กู้ให้หัวใจไม่ล้มเหลวตายในระหว่างช๊อก จะพร้อมใจกันกลับเข้าเส้นเลือดจนท่วมท้นปอดหัวใจ

โดยเฉพาะในเด็กเล็ก เป็นเหตุให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้โดยง่าย (แม้จะมีแพทย์จะเฝ้าอยู่ข้างเตียง ก็ไม่อาจแก้ปัญหาได้ทัน)ไม่รวมถึงการมีเลือดออกในสมองและอวัยวะต่างๆ ที่ถึงจะให้เกร็ดเลือดไปก็อาจไม่ทำงาน โดยโรคเอง ด้วยซ้ำ ทั้งนี้รวมถึงในระดับโรงเรียนแพทย์ ไม่ว่า จุฬาฯ ศิริราชฯ หรือรามาฯ เอง ก็เคยมีเสียชีวิตในลักษณะนี้มาแล้วทั้งสิ้น
  • SukapabDee.com
  • โพสต์: 0
  • ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 13 มี.ค. 2011 12:39 am

Re: ไข้เลือดออก อาการไข้เลือดออกและการป้องกันไข้เลือดออก

 โพสต์ SukapabDee.com    3469

1."ทำไมหมอไม่บอก ตั้งแต่แรกว่าเป็นไข้เลือดออก" การวินิจฉัยช่วงแรกเป็นได้ยาก อาการไม่โดยเฉพาะ เนื่องจาก ไปยืมอาการของโรคอื่นๆ เช่นไข้หวัด มาปะปนกันไปหมด หมอผู้เชี่ยวชาญเอง ก็ลำบากที่จะตัดสินใจว่าเป็นโรคนี้ในวันแรกๆของการป่วยโดยเฉพาะ ซึ่งอาการส่วนใหญ่อาจกลายไปเป็นโรคอื่นๆ ทำให้กว่าหมอจะให้การวินิจฉัย ได้ก็เมื่อมีอาการเฉพาะปรากฎ เป็นข้อจำกัดของโรค (ซึ่งหลายครั้ง คนไข้ก็จะแย่แล้ว...)

2. "การวินิจฉัยวันแรกๆโดยเจาะเลือดไม่ได้หรือ" ขอเรียนว่ายากครับ โรคที่เกี่ยวกับไข้หวัดธรรมดาที่เกิดจากไวรัส กับไวรัสเด็งกี่นั้นเป็นกลุ่มแบบพี่น้องกัน ถึงแม้เจาะเลือดธรรมดาที่ทำกันทั่วไปนั้น อาจแยกจากกันไม่ได้ การดูเกร็ดเลือดระยะแรกก็อาจไม่ต่ำ อาจทำให้เข้าใจผิดว่าไม่ได้เป็น (ทั้งที่อีก1-2วันถึงออกอาการว่าเป็น) การเจาะเลือดที่เฉพาะกว่าคือการตรวจ ภูมิต่อไวรัส เด็งกี่ เรียกว่าเด็งกี่ไตเตอร์ ซึ่งทำได้เฉพาะใน โรงเรียนแพทย์ หรือโรงพยาบาลใหญ่ๆ ใช้เวลาหลายวัน บางทีผลกลับมา ซึ่งคนไข้กว่า90%หายจากอาการก่อนแล้ว ยกเว้นกรณีอาการร้ายแรง หรือ ช๊อก จึงจะทันได้ใช้ประโยชน์
  • SukapabDee.com
  • โพสต์: 0
  • ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 13 มี.ค. 2011 12:39 am

Re: ไข้เลือดออก อาการไข้เลือดออกและการป้องกันไข้เลือดออก

 โพสต์ SukapabDee.com    3469

"ไข้เลือดออก" เป็นโรคติดเชื้อจากไวรัสเดงกี่ (Dengue virus) ที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรค โดยทั่วไปยุงลายจะออกหากินกัดคนในเวลากลางวัน ยุงลายจะเพาะพันธุ์ในน้ำใสสะอาดและนิ่ง แหล่งเพาะพันธุ์ส่วนใหญ่คือภาชนะที่มีน้ำขัง เมื่อยุงลายตัวเมียดูดเลือดจากผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสเดงกี่เข้าไป เชื้อไวรัสเดงกี่ในยุงจะเพิ่มจำนวน และกระจายเชื้อเข้าไปสู่ต่อมน้ำลายของยุง เตรียมพร้อมที่จะปล่อยเชื้อให้กับคนที่ถูกกัดครั้งต่อไปได้ โดยเชื้อจะอยู่ตลอดอายุของยุง จะพบยุงลายชุกชุมมากในฤดูฝน การควบคุมยุงลายทำได้โดยทำลายแหล่งเพาะพันธุ์อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และกำจัดลูกน้ำยุงลายโดยใส่ทรายอะเบต (abate) ลงในภาชนะที่มีน้ำขัง

การติดเชื้อไวรัสเดงกี่จากยุงลายจะมีอาการ อย่างไร ?

ผู้ป่วยส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 90 ที่ได้รับเชื้อไวรัสเดงกี่ จะไม่แสดงอาการ ส่วนผู้ป่วยที่แสดงอาการจะแบ่งอาการออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

ไข้ไวรัส ผู้ป่วยจะมีเพียงไข้ 2-3 วัน และอาจมีผื่นตามตัว ซึ่งจะมีอาการคล้ายกับการติดเชื้อไวรัสอื่นๆ

ไข้เดงกี่ ผู้ป่วยจะมีไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว มักมีผื่นตามตัว และพบจุดเลือดออกจากการทดสอบ

tourniquet test ถ้าเจาะเลือดมักจะมีเม็ดเลือดขาวต่ำ บางรายอาจมีเกล็ดเลือดต่ำร่วมด้วย

ไข้ เลือดออกเดงกี่ ผู้ป่วยมีไข้สูง 2-7 วัน มีอาการเลือดออก ส่วนใหญ่พบที่ผิวหนัง ตับโต และพบจุดเลือดออกจากการทดสอบ tourniquet test ลักษณะเฉพาะของโรคคือ มีการรั่วของพลาสมาหรือน้ำเหลืองออกจากเส้นเลือด ทำให้มีโอกาสเกิดภาวะช็อกได้ โดยส่วนใหญ่จะมีการรั่วของพลาสมาประมาณ 24-48 ชั่วโมง หลังจากระดับเกล็ดเลือดลดต่ำลง


ไข้เลือดออกมีอาการอย่างไร ?


การดำเนินโรค แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้

ระยะไข้สูง ผู้ป่วยจะมีไข้สูง 39-41 องศาเซลเซียส ส่วนใหญ่ติดต่อกันเป็นเวลา 2-7 วัน มักมีอาการหน้าแดง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว เบื่ออาหาร อาเจียน ปวดท้องบริเวณลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวา ตับโต กดเจ็บ บางรายอาจมีจุดเลือดออกเล็กๆ กระจายที่ผิวหนัง มักไม่มีอาการหวัดชัดเจน

ระยะวิกฤติ เป็นระยะที่ไข้มักลดลงอย่างรวดเร็วและมีการรั่วของพลาสมา ถ้าหากมีการรั่วอย่างมาก จะเกิดภาวะช็อกได้ ผู้ป่วยจะมีอาการกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ชีพจรเต้นเร็วและเบา มีความดันโลหิตต่ำ และอาจมีอาการเลือดออกที่อวัยวะอื่นๆ ในรายที่รุนแรงอาจอาเจียน และถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ซึ่งมักจะเป็นสีดำ

ระยะฟื้นตัว เป็นระยะที่พลาสมากลับเข้าสู่กระแสโลหิต ผู้ป่วยจะมีอาการทั่วไปดีขึ้น มีความอยากอาหาร ปัสสาวะเพิ่มขึ้น มีผื่นเป็นวงกลมสีขาวกระจายอยู่บนปื้นสีแดง และอาจมีอาการคันร่วมด้วย

ทราบได้อย่างไรว่าเป็นไข้เลือดออก ?

วินิจฉัยจากลักษณะอาการทางคลินิก ร่วมกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการเบื้องต้น ดังนี้

การตรวจนับเม็ดเลือด ในตอนต้นของระยะไข้สูง จำนวนเม็ดเลือดขาวอาจปกติหรือสูงเล็กน้อย ในตอนปลายของระยะไข้สูงจำนวนเม็ดเลือดขาวมักต่ำลง ต่อมาจะพบว่าจำนวนเกล็ดเลือดต่ำลง

การตรวจภาพรังสีปอด อาจมีน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด

การตรวจอื่นๆ เช่น การตรวจภาวะการแข็งตัวของเลือด การตรวจการทำงานของตับ การตรวจทางภูมิคุ้มกันจำเพาะต่อเชื้อ การเพาะเชื้อไวรัส เป็นต้น

การรักษาโรคไข้เลือดออก

ผู้ป่วยที่มีอาการของโรคไข้เลือดออก ควรได้รับการตรวจติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อตรวจปริมาณเกล็ดเลือด และระดับความเข้มข้นของเลือด

ในช่วงระยะ ไข้สูง ควรเช็ดตัวเพื่อลดไข้ ระวังอาจมีการชักได้โดยเฉพาะในเด็กเล็ก หรือเด็กที่มีประวัติชักมาก่อน การรับประทานยาลดไข้ควรให้ด้วยความระมัดระวัง และให้เป็นครั้งคราวเวลาที่มีไข้สูงเท่านั้น กรณีจำเป็นต้องให้ยาลดไข้ควรใช้ยาพวกพาราเซตามอล ไม่ควรใช้ยาลดไข้จำพวกแอสไพริน เนื่องจากเสี่ยงต่อภาวะเลือดออก

ในกรณีที่เริ่มเข้าสู่ระยะวิกฤติ หรือระยะที่มีการรั่วของพลาสมา แพทย์จะพิจารณารับผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล

ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการ เบื่ออาหารมาก ไม่รับประทานอาหารหรือดื่มน้ำเลย ถ่ายปัสสาวะน้อยลง อาเจียนมาก ปวดท้องอย่างรุนแรง ซึม มีอาการแย่ลงเมื่อมีไข้ กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น อาจเป็นอาการนำของภาวะช็อก ควรรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที
 ไข้เลือดออก อาการไข้เลือดออกและการป้องกันไข้เลือดออก
 เว็บบอร์ดสุขภาพ ข่าวสารความรู้สุขภาพ กระทู้สุขภาพ เคล็ดลับสุขภาพ ถาม-ตอบปัญหาสุขภาพ
ตอบกลับโพสต์
เครื่องกดนับแยกชนิดเม็ดเลือดขาว Genius Count DiffCount