รพ.ราชวิถี ชวนรู้จักโรคแพ้ภูมิตนเอง(SLE) หรือโรคพุ่มพวง
โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ เผย โรคภูมิแพ้ตัวเอง Systemic Lupus Erythematosus (SLE) หรือที่คนไทยเรียกกันว่า “โรคพุ่มพวง” เป็นโรคที่ก่อให้เกิดการอักเสบของอวัยวะทั่วร่างกาย และอวัยวะที่เกิดการอักเสบจะได้รับความเสียหาย โดยผู้ป่วยแต่ละคนอาจมีการอักเสบ ในแต่ละอวัยวะและมีอาการแสดงแตกต่างกัน มักเกิดการอักเสบของหลายอวัยวะร่วมกัน แนะนำผู้ป่วยหมั่นสังเกตอาการตนเอง หากพบความผิดปกติควรรีบพบแพทย์
นพ.จินดา โรจนเมธินทร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี กล่าวต่อว่า สาเหตุของการเกิดโรคอาจเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางด้านพันธุกรรมร่วมกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เช่น แสงแดด การติดเชื้อไวรัส การติดเชื่อแบคทีเรีย การได้รับวัคซีน การได้รับยา หรือสารเคมีบางชนิด ส่งผลให้เกิดความผิดปกติของระบบภูมิต้านทานในร่างกาย ทั้งนี้การตรวจวินิจฉัยโรคต้องอาศัยหลักฐานจากลักษณะอาการร่วมกันกับ ผลการตรวจทางห้องปฎิบัติการ ทั้งการตวจเลือด การตรวจปัสสาวะ และการตรวจอื่น ๆ เพื่อการวินิจฉัยแยกโรค ซึ่งโรคนี้จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการรักษานานและเคร่งครัด เนื่องจากอาการที่กำเริบอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ตัวเอง (SLE) หรือโรคพุ่มพวง เป็นโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมให้อาการสงบได้
นพ.สูงชัย อังธารารักษ์ นายแพทย์เชี่ยวชาญ สาขาอายุรศาสตร์โรคข้อและภูมิคุ้มกัน กลุ่มงานอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลราชวิถี กล่าวเพิ่มเติมว่า โรคภูมิแพ้ตัวเอง (SLE) หรือโรคพุ่มพวง สามารถเกิดจากการกระตุ้นได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความไม่สมดุลของฮอร์โมนในวัยเจริญพันธ์ ความเครียด หรือปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะการติดเชื้อไวรัส,แสงแดด โดยอาการของโรคมีการกำเริบและสงบเป็นระยะ ซึ่งการตรวจวินิจฉัยโรค แพทย์จะทำการวินิจฉัยจากอาการและอาการแสดงดังกล่าวของผู้ป่วย ร่วมกับการตรวจเลือด การตรวจปัสสาวะ และการตรวจทางภูมิคุ้มกัน (ANA , anti-dsDNA , anti Sm) โดยใช้เกณฑ์การวินิจฉัย จากสมาคมแพทย์โรคข้อของสหรัฐอเมริกาและยุโรป ซึ่งวิธีการรักษาจะแบ่งตามระดับของความรุนแรง กรณีที่อาการไม่รุนแรงมาก แพทย์จะให้ยาเพื่อช่วยบรรเทาตามอาการ หากมีอาการรุนแรง เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนในอวัยวะสำคัญ เช่น ไตอักเสบ สมองอักเสบ เกร็ดเลือดต่ำ การทำลายเม็ดเลือดแดง จะมีการใช้ยาต้านมาลาเรีย ยาสเตียรอยด์และยากดภูมิ ซึ่งขนาดและวิธีการ ให้ยาจะขึ้นกับความรุนแรงของโรคและอวัยะที่อักเสบ ทั้งนี้ผู้ป่วยจะต้องดูแลตนเองและทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด หากจะตั้งครรภ์ควรปรึกษาแพทย์ที่ดูแล โดยวัตถุประสงค์ของการรักษาคือการควบคุมโรคให้เข้าสู่ระยะสงบ
วิธีการป้องกันจึงเป็นการดูแลสุขภาพร่างกายโดยรวมให้แข็งแรงอยู่เสมอ โดยปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน ดังนี้
1.ลดความเครียด
2.นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
3.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และสะอาดหลีกเลี่ยงอาหารดิบ
4.หลีกเลี่ยงแสงแดด
5.ป้องกันการติดเชื้อ เช่นสวมใส่หน้ากากอนามัย
6.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
7.ไม่สูบบุหรี่หรืองดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
8.หลีกเลี่ยงหรือลดการสัมผัสสารเคมี
9.รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งและห้ามหยุดยาเอง หลีกเลี่ยงยาสมุนไพรหรือยาชุด อาหารเสริมนอกระบบ
แม้โรคภูมิแพ้ตัวเอง (SLE) จะยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด การติดตามอาการอย่างต่อเนื่องและรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด รวมถึงปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ไม่เพียงช่วยทำให้โรคเข้าสู่ระยะสงบหรือหายและช่วยลดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ได้แล้ว ยังช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อีกด้วย