Skip ไปที่เนื้อหา

การฝากไข่ มีข้อดีข้อเสีย และต้องเตรียมตัวอย่างไร

Mom & Child's Health Forums | เว็บบอร์ดสุขภาพแม่และเด็ก กระทู้สุขภาพแม่และเด็ก
  • เนิร์ด
  • โพสต์: 0
  • ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร 12 เม.ย. 2022 11:46 am

การฝากไข่ มีข้อดีข้อเสีย และต้องเตรียมตัวอย่างไร

 โพสต์ เนิร์ด    3515

ปรึกษาแพทย์เรื่องการฝากไข่

ในปัจจุบัน การแต่งงานมีชีวิตคู่ล้วนมีปัจจัยหลายอย่างมาเกี่ยวข้องมากขึ้น ส่งผลให้การตัดสินใจช้าลง โดยผู้หญิงเฉลี่ยที่อายุ 35 ปีขึ้นไป ถึงจะแต่งงาน ซึ่งรวมถึงการทุ่มเทกับงาน การเที่ยว และการใช้ชีวิต จนไม่ค่อยคิดเรื่องแต่งงาน ซึ่งหากปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ความเสื่อมของร่างกายก็มากขึ้นทำให้โอกาสในการมีลูกก็ยากขึ้นเช่นกัน จึงทำให้มีการสนใจในเรื่อง ฝากไข่ และแช่แข็งเพิ่มมากขึ้น

โดยการฝากไข่ จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่อยากมีลูกแต่ยังไม่พร้อม หรือผู้ที่มีภาวะมีลูกยาก รวมไปถึงผู้ที่มีโรคประจำตัวต่าง ๆ ให้สามารถมีลูกได้ในอายุที่มากขึ้น

ฝากไข่ คืออะไร
การฝากไข่ (Oocyte Cryopreservation หรือ Egg Freezing) หรือ การแช่แข็งเซลล์ไข่ เป็นหนึ่งในวิธีที่จะช่วยรักษาคุณภาพเซลล์ไข่ ซึ่งการเก็บรักษาไข่นี้เป็นการทำหัตถการเพื่อเก็บเซลล์ไข่จากรังไข่แล้วนำมาแช่แข็งไว้เพื่อนำไปใช้ในอนาคต ไข่ที่แช่แข็งไว้ที่อุณหภูมิ -196 องศาเซลเซียส จากนั้นสามารถนำมาละลายและนำไปปฏิสนธิกับอสุจิ ในกระบวนการทำเด็กหลอดแก้วหรือ IVF/ICSI ได้

โดยจำนวนไข่ที่สามารถเก็บได้ ขึ้นกับปริมาณไข่ต่อรอบเดือนที่มีอยู่ในผู้หญิงของแต่ละคน โดยเฉลี่ยประมาณ 10-15 ใบ แต่สำหรับผู้หญิงที่มีจำนวนไข่มาก อาจเก็บได้มากถึง 20-30 ใบได้ ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของร่างกายของแต่ละคน

ฝากไข่ ทางเลือกสำหรับผู้หญิงที่อยากมีลูก
โดยการฝากไข่เป็นทางเลือกที่สำคัญในปัจจุบัน เพราะเมื่ออายุมากขึ้น ไข่ของผู้หญิงจะมีคุณภาพน้อยลงและมีการลดจำนวนลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป จะส่งผลให้มีลูกยาก ยิ่งหากอายุเกิน 40 ปีแล้วไม่มีประจำเดือน นั่นคือการก้าวสู่วัยทอง (Menopause) รังไข่จะเริ่มหยุดการทำงาน เพราะฉะนั้นหากต้องการวางแผนจะมีลูกควรเข้ารับการฝากไข่ให้เร็วที่สุด ไม่ควรเกินอายุ 40 ปี

นอกจากเรื่องอายุแล้วอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หันมาฝากไข่กันยิ่งขึ้น คือ โรคประจำตัวที่ส่งผลกระทบต่อภาวะเจริญพันธุ์ โดยกระบวนการรักษาโรคเหล่านั้นอาจมีผลต่อการเจริญพันธุ์ของผู้หญิง เช่น ซีสที่มดลูก/รังไข่ มะเร็งรังไข่ ภาวะรังไข่เสื่อมก่อนวัยอันควร ล้วนทำให้ต้องผ่าตัดรังไข่ ตลอดจนการฉายแสงหรือการทำเคมีบำบัดเพื่อรักษาโรคมะเร็งก็สามารถเป็นอันตรายภาวะเจริญพันธุ์ได้เช่นกัน

เตรียมตัวอย่างไรก่อนฝากไข่
โดยการเตรียมตัวอย่างไรก่อนฝากไข่ สามารถทำได้ดังนี้
  • ไม่ควรรับประทานอาหารหลัง 6 โมงเย็น
  • รับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ น้ำตาลน้อย แป้งน้อย ลดขนมขบเคี้ยว อาหารที่มีโปรตีนสูง เพราะการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์จะช่วยสร้างสมดุลให้กับร่างกาย
  • ลดความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ ฝึกควบคุมและจัดการกับความเครียด
  • รับประทานอาหาร วิตามินเสริม ได้แก่ CO-Q10, Methyl Folate, Astaxanthin และ Vitamin D หรือ Pregnable F Begin ในขั้นตอนนี้สามารถปรึกษาแพทย์เรื่องการรับประทานอาหารและวิตามินเสริมได้
  • ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการฝากไข่ เพื่อที่แพทย์จะได้ประเมินอาการ และให้คำปรึกษาในการดูแลก่อนการเริ่มกระบวนทั้งหมดของการฝากไข่
  • การรับแสงแดดให้เพียงพอในตอนเช้า อย่างน้อยเป็นเวลา 30 นาทีทุกวัน จะช่วยกระตุ้นจังหวะการหลับตื่น (Sleep Cycle) ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถช่วยให้เรานอนหลับพักผ่อนได้ดียิ่งขึ้น
ขั้นตอนการฝากไข่

เจาะตรวจเลือดและฮอร์โมนก่อนการฝากไข่

โดยขั้นตอนของการฝากไข่มีอยู่ 6 ขั้นตอน ดังต่อไปนี้
1. การตรวจเลือดและฮอร์โมนต่าง ๆ เพื่อเตรียมความพร้อม (Preparation Part)
ซึ่งมีการตรวจเมื่อประจำเดือนมาวันที่ 2 หรือ 3 โดยเริ่มกระบวนการตรวจร่างกายต่าง ๆ ดังนี้
  • เจาะเลือดเพื่อหาโรคติดเชื้อ
1.ตรวจกรุ๊ปเลือด (Blood Group)
2.ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete blood count: CBC)
3.ตรวจหาเชื้อไวรัสเอชไอวี (Anti-HIV)
4.ตรวจหมู่เลือดอาร์เอช (Rh Group)
5.ตรวจหาโรคไวรัสตับอักเสบ (HBsAg)
6.ตรวจหาเชื้อซิฟิลิส ด้วยวิธี VDRL
7.ตรวจหาโรคหัดเยอรมัน (Rubella IgG)
8.ตรวจหาโรคธาลัสซีเมีย (Hemoglobin typing)
9.ตรวจหาไวรัสตับอักเสบซี (Anti HCV)
  • ตรวจเลือดวัดระดับฮอร์โมนของรังไข่ ซึ่งจะตรวจทั้ง LH (Luteinizing Hormone), E2 (Estradiol), PRL (Prolactin), FSH (Follicle Stimulating Hormone)
  • ตรวจ LAB ANC (Absolute Neutrophil Count : ANC) ความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดขาว
  • ตรวจวัดระดับฮอร์โมนที่บ่งบอกปริมาณสำรองของไข่ที่เหลืออยู่ในรังไข่ (Anti Mullerian Hormones : AMH)
  • ตรวจอัลตราซาวด์ทางช่องคลอด (Transvaginal Ultrasound : TVS)
2.การกระตุ้นรังไข่ (Ovarian Stimulation Part)
โดยหลังจากตรวจร่างกายแล้ว จากนั้นจะทำการฉีดยากระตุ้นไข่ ซึ่งมียาที่ใช้สำหรับกระตุ้นไข่ คือ Gonal F, Puregon, Pergoveris, Follitrope โดยปริมาณยาและตัวยาในการฉีด แพทย์จะพิจารณาจากอายุและผลฮอร์โมน ในขณะเดียวกันแพทย์จะฉีดยา Orgalutran เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้เกิดไข่ตกก่อนเวลาร่วมด้วย

3.การติดตามขนาดไข่
หลังจากนั้นประมาณ 3-5 วัน จะทำการตรวจฮอร์โมนและตรวจอัลตราซาวด์ดูการเจริญเติบโตของไข่ (Transvaginal Ultrasound) ต่อยากระตุ้นไข่ หากได้ขนาดใหญ่เหมาะสมตามที่แพทย์ต้องการแล้ว จะทำการฉีดยาเพื่อทำให้ไข่ตก

4.ทำการฉีดยากระตุ้นไข่ให้ตก (Ovulation Induction : OI)
โดยเมื่อได้ไข่ที่มีขนาดใหญ่เหมาะสมตามที่แพทย์ต้องการแล้ว จะทำการฉีดยาเพื่อทำให้ไข่พร้อมสำหรับการเก็บไข่ โดยมีตัวยาที่ใช้คือ Ovidrel, hcG, Cetrotide หรือ Diphereline ซึ่งตัวยาและปริมาณที่แพทย์จะทำการฉีดให้นั้น จะพิจารณาจากอายุและผลฮอร์โมนเป็นรายบุคคล

5. การเก็บไข่ (Egg Retrieval)
ซึ่งหลังจากฉีดยาให้ไข่ตก ประมาณ 34-36 ชั่วโมง แพทย์จะทำการเก็บไข่โดยการใช้การอัลตราซาวด์เพื่อดูตำแหน่งไข่ให้ชัดเจน แล้วจึงค่อยนำเข็มที่ใช้ในการเก็บไข่สอดเข้าไปที่รังไข่ แล้วใช้เข็มดูดเซลล์ไข่ออกมา โดยการเก็บไข่เป็นการทำหัตถการขนาดเล็ก จึงมีการใช้ยาสลบ โดยขั้นตอนการเก็บไข่ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที หลังจากการเก็บไข่ ควรพักฟื้นอยู่ในห้องพักฟื้น 1-2 ชั่วโมง

6. การแช่แข็งไข่ (Embryo Freezing)
หลังจากทำการดูดเซลล์ไข่ออกมาแล้ว จะทำการนำเอาหลอดแก้วบรรจุเซลล์ไข่ไว้ แล้วจึงนำไปไปแช่แข็งไว้ที่อุณหภูมิ -196 องศาเซลเซียส และจะนำไข่ออกมาเพื่อใช้ปฏิสนธิกับอสุจิฝ่ายชาย เมื่อผู้ฝากไข่ต้องการมีลูก

ข้อดี - ข้อจำกัดของการฝากไข่

ฝากไข่เพื่อเพิ่มโอกาสมีลูกเมื่ออายุมากขึ้น

ซึ่งข้อดีของการฝากไข่ มีดังนี้
  • เพิ่มโอกาสในการมีลูกเมื่ออายุมากขึ้น เพราะยิ่งอายุเพิ่มมากขึ้นจำนวนและคุณภาพของไข่จะลดลงเรื่อย ๆ
  • การฝากไข่สามารถฝากได้สูงสุดถึง 10 ปี ทำให้วางแผนการมีลูกได้ด้วยตนเอง เนื่องจากสามารถกำหนดช่วงอายุที่จะมีลูกได้
  • การฝากไข่ช่วยลดโอกาสที่เด็กจะเกิดมามีความผิดปกติของโครโมโซมและลดโอกาสที่เด็กจะเกิดมาเป็นดาวน์ซินโดรมได้
ข้อจำกัดของการฝากไข่ มีดังนี้
  • อาจเกิดผลข้างเคียงจากขั้นตอนการเก็บไข่ได้ เช่น เกิดภาวะรังไข่ตอบสนองต่อการกระตุ้นมากเกินไป (Ovarian Hyperstimulation Syndrome) หรือภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ จากการเก็บไข่ ในขณะที่ความผิดปกติของเด็ก ในแง่ของโครโมโซมหรือความพิการแต่กำเนิดไม่ต่างจากการตั้งครรภ์ธรรมชาติ
ผลข้างเคียงหลังการฝากไข่
โดยผลข้างเคียงหลังการฝากไข่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งจะมีอาการ เช่น
  • ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีดฮอร์โมน
1.มีมูกใสออกทางช่องคลอดตลอดวัน ซึ่งเหมือนกับตอนที่เราไข่ตกระหว่างมีประจำเดือน แต่เยอะกว่าปกตินิดหน่อย 2.หากมีกลิ่นด้วยควรพบแพทย์ในทันที
3.มีอาการบวมน้ำ ท้องป่อง ใส่กางเกงเริ่มคับ
4.คลื่นไส้เล็กน้อยหลังฉีดฮอร์โมน
  • ภาวะทางด้านอารมณ์
อาจเกิดความเครียดจากความคาดหวังสูงในการตั้งครรภ์ จากการวางแผนตั้งครรภ์ อาจทำให้เกิดความแปรปรวนทางด้านอารมณ์ได้
  • ภาวะแทรกซ้อนจากการเก็บไข่
อาจทำให้เกิดอาการเลือดออกรวมถึงการติดเชื้อในช่องท้องและอาจกระทบต่ออวัยวะข้างเคียง เช่น กระเพาะปัสสาวะ เส้นเลือด และลำไส้

แนวทางการปฏิบัติตัวหลังฝากไข่
โดยอาการที่มักพบหลังการฝากไข่ เช่น
  • มีอาการปวด โดยสามารถรับประทานยาแก้ปวดที่แพทย์แนะนำได้ และรับประทานยา หรือเหน็บยาตามที่แพทย์กำหนด
  • อาจมีอาการคลื่นไส้ได้เล็กน้อย แนะนำให้นอนพักในห้องพักประมาณ 1?2 ชั่วโมงก่อนกลับบ้าน
  • อาจมีผลข้างเคียงจากการใช้เข็มดูดเซลล์ไข่ เช่น มีเลือดออก การติดเชื้อในช่องท้อง หรือเกิดแผลที่ลำไส้ กระเพาะปัสสาวะ
  • อาจเกิดอาการต่าง ๆ จากการใช้ฮอร์โมน เช่น ปวดท้อง ท้องอืด ปวดศีรษะ คลื่นไส้ เป็นต้น แต่ในกรณีนี้พบได้น้อย
  • อาจมีอาการปวดหน่วงที่ท้องน้อยหรือแน่นท้องได้ ซึ่งควรปรึกษาแพทย์ให้ฉีดยา
    ซึ่งแนวทางการปฏิบัติตัวหลังฝากไข่ สามารถทำได้ดังนี้
  • ไม่ควรขับรถกลับบ้านเองตามลำพัง ควรมีญาติสนิทมาด้วย เพราะอาจจะมีอาการอ่อนเพลีย
  • หากมีไข้สูง ปวดท้องอย่างรุนแรง มีเลือดออกจากทางช่องคลอดผิดปกติ ปัสสาวะลำบาก ควรรีบเข้าไปพบแพทย์ทันที
  • ควรงดการมีเพศสัมพันธ์ ออกกำลังกาย ยกของหนัก ในช่วง 1 สัปดาห์แรก
  • พยายามพักผ่อนให้มากที่สุด และทำจิตใจให้สดชื่น
ฝากไข่ ที่ไหนดี
โดยการเลือกสถานที่ในการฝากไข่ ควรคำนึงถึง 5 ข้อหลัก ๆ คือ
  • เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการฝากไข่ โดยศึกษาว่าสถานที่ฝากไข่นั้น ๆ มีเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับเราหรือไม่จากการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
  • ความเชี่ยวชาญของทีมแพทย์ ซึ่งการเลือกแพทย์ที่จะดูแล และให้คำปรึกษาตลอดการรักษาเป็นเรื่องสำคัญในลำดับต้น ๆ เลย
  • ศึกษาจากโอกาสความสำเร็จ โดยศึกษาอัตราการประสบความสำเร็จของโรงพยาบาลหรือคลินิกแต่ละแห่ง
  • การให้บริการจากบุคลากร โดยคำนึงจากการให้บริการจากทีมแพทย์ พยาบาล ความสะดวกสบายที่ได้รับ ราคาครอบคลุมและเหมาะสมของการบริการ
  • ความสะดวกในการเดินทาง ต้องศึกษาเส้นทางและคำนวณเวลาให้เหมาะสมในการเดินทาง
ฝากไข่ ราคา ค่าใช้จ่ายเป็นอย่างไร
โดยราคาของค่าใช้จ่ายในการฝากไข่จะแตกต่างกันในแต่ละการให้บริการ เช่น

ฝากไข่ คลินิก ราคา
โดยฝากเป็นคลินิกที่ได้มาตรฐานสูงราคาจะอยู่ที่ประมาณ 75,000-90,000 บาท

ฝากไข่โรงพยาบาลรัฐ ราคา
โดยถ้าเป็นสถานพยาบาลของรัฐ จะมีค่าใช้จ่ายโดยประมาณ 80,000-150,000 บาท

ข้อสรุป
ในการฝากไข่นั้น เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการมีลูกในระยะเวลาที่เหมาะสมกับตัวเรา ซึ่งสามารถวางแผนเองได้ในอนาคต เพราะสามารถเลือกช่วงเวลาที่พร้อมจะมีลูกได้ หรือผู้ที่เข้าข่ายมีบุตรยาก รวมไปถึงผู้ที่มีโรคประจำตัว ซึ่งการฝากไข่จะสามารถลดความเสี่ยงของลูกที่อาจเกิดมามีความผิดปกติของโครโมโซมได้อีกด้วย
 การฝากไข่ มีข้อดีข้อเสีย และต้องเตรียมตัวอย่างไร
 Mom & Child's Health Forums | เว็บบอร์ดสุขภาพแม่และเด็ก กระทู้สุขภาพแม่และเด็ก
เครื่องกดนับแยกชนิดเม็ดเลือดขาว Genius Count DiffCount