Skip ไปที่เนื้อหา

ระวังไขมันเกาะตับเป็นอย่างไร เสี่ยงมะเร็ง ตับแข็ง หรือไม่

เว็บบอร์ดสุขภาพ ข่าวสารความรู้สุขภาพ กระทู้สุขภาพ เคล็ดลับสุขภาพ ถาม-ตอบปัญหาสุขภาพ
  • ภาพประจำตัว
  • pantip
  • โพสต์: 0
  • ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ 09 เม.ย. 2011 10:35 pm

Re: ระวังไขมันเกาะตับเป็นอย่างไร เสี่ยงมะเร็ง ตับแข็ง หรือไม

 โพสต์ pantip    5608

กลุ่มเสี่ยง
กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงของไวรัสตับอักเสบบี ได้แก่ ผู้ชายเอเชียที่อายุมากกว่า 40 ปี และผู้หญิงอายุมากกว่า 50 ปี ในรายที่เป็นตับแข็ง และมีครอบครัวเป็นมะเร็งตับ

ผู้ป่วยโรคตับแข็งจากไวรัสตับอักเสบซี แอลกอฮอล์ ภาวะธาตุเหล็กสะสมในตับ สารพิษอะฟลาทอกซิน

เนื่องจากปัจจุบันมีการตรวจคัดกรองมะเร็งตับในกลุ่มเสี่ยงมากขึ้น ทำให้สามารถวินิจฉัยได้ตั้งแต่เริ่มแรกโดยที่ยังไม่มีอาการ ผู้ป่วยมะเร็งตับบางรายมาด้วยอาการแสดงจากโรคตับแข็ง

เช่น ตาเหลือง ตัวเหลือง น้ำในช่องท้อง เลือดออกจากเส้นเลือดขอดที่หลอดอาหาร ม้ามโต และอาการแสดงอื่นๆ ของโรคตับแข็ง หรือซึม สับสน

อาการแสดงที่เกิดจากมะเร็งตับได้แก่ ปวดท้อง น้ำหนักลด ท้องอืดแน่นท้อง เบื่ออาหาร ไข้ ตาเหลือง ตัวเหลือง และตับโต

ภาวะไขมันสะสมในตับ
คือภาวะที่มีการสะสมของไขมันภายในเซลล์ตับ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในรูปของไตรกลีเซอไรด์ โดยอาจมีเพียงการสะสมของไขมันอย่างเดียว หรืออาจมีการอักเสบของตับร่วมด้วย ซึ่งในผู้ป่วยบางรายการอักเสบเรื้อรังนี้ อาจนำไปสู่การเกิดพังผืดในตับ หรือที่เราเรียกว่าภาวะตับแข็งได้
  • ภาพประจำตัว
  • pantip
  • โพสต์: 0
  • ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ 09 เม.ย. 2011 10:35 pm

Re: ระวังไขมันเกาะตับเป็นอย่างไร เสี่ยงมะเร็ง ตับแข็ง หรือไม

 โพสต์ pantip    5608

ไขมันเกาะตับพบได้บ่อยแค่ไหน
พบว่า ประชากรทั่วไปประมาณ 10-20% มีภาวะไขมันสะสมในตับ โดยการตรวจด้วยเครื่องอัลตราซาวด์ และประมาณ 1-3% จะพบการอักเสบเรื้อรังของตับร่วมด้วย โดยจะพบเพิ่มขึ้นในกลุ่มประชากรที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป

สำหรับประเทศไทยยังไม่มีข้อมูลความชุกของโรคนี้อย่างชัดเจน แต่เชื่อว่า คงใกล้เคียงกับข้อมูลของต่างประเทศ

กรณีที่ผู้ป่วยมีค่าการทำงานของตับผิดปกตินานกว่า 3 เดือน ซึ่งบอกถึงภาวะตับอักเสบเรื้อรัง โดยที่ไม่ได้เกิดจากไวรัสตับอักเสบ บีและซี การดื่มสุรา หรือรับประทานยา พบว่า มากกว่า 60% ของผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีภาวะไขมันสะสมในตับที่อาจเป็นสาเหตุได้

สาเหตุและความเสี่ยงที่ไม่ได้เกิดจากการดื่มสุรา
สาเหตุของโรคนี้ปัจจุบันยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด อาจมีหลายปัจจัยร่วมกัน โดยข้อมูลในปัจจุบันเชื่อว่า ปัจจัยสำคัญของการเกิดภาวะไขมันสะสมในตับคือ

ภาวะดื้อต่ออินซูลิน และจากนั้นอาจจะมีกลไกอื่นที่มากระตุ้นให้เซลล์ตับที่มีไขมันเกาะอยู่นั้น เกิดการอักเสบ และการตายของเซลล์ตับ

ลักษณะของผู้ป่วยที่มีความสัมพันธ์กับการดื้อต่ออินซูลิน ได้แก่ผู้ป่วยที่มีลักษณะต่อไปนี้

1. อ้วน โดยเฉพาะอ้วนที่ลำตัวหรือลงพุง คือมีรอบเอวมากกว่า 36 นิ้ว ในผู้ชายหรือมากกว่า 32 นิ้วในผู้หญิง

2. เป็นเบาหวาน

3. ไขมันในเลือดสูง โดยเฉพาะไขมันไตรกลีเซอไรด์

4. ความดันโลหิตสูง พบว่า ผู้ป่วยที่มีลักษณะอย่างน้อย 1 ข้อดังกล่าว จะมีโอกาสเกิดภาวะไขมันสะสมในตับสูงคือประมาณ 80% ของคนอ้วน และ 20-40% ในผู้ป่วยโรคเบาหวานจะมีไขมันสะสมในตับ

5. รับประทานอาหารที่มีอะฟลาทอกซิน และเชื้อราผสมอยู่ เช่น ถั่วลิสงคั่ว พริกป่น ข้าวฟ่าง ข้าวโพดอบแห้ง ปลาป่น กระดูกป่น

อาการของไขมันสะสมในตับ
ผู้ป่วยส่วนมากไม่มีอาการ มักตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจเลือด เช็กสุขภาพ ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการจุกแน่นชายโครงด้านขวา หรือในรายที่เป็นมานาน อาจมีอาการเริ่มต้นของภาวะตับแข็ง เช่น อ่อนเพลีย ท้องโต เป็นต้น

การตรวจร่างกายโดยแพทย์ ในระยะแรกมักจะปกติ หรือพบแค่ผู้ป่วยรูปร่างอ้วน การตรวจเลือดดูการทำงานของตับจะพบค่า ALT และ AST มีค่าสูงกว่าปกติประมาณ 1.5-4 เท่า ซึ่งบ่งถึงการอักเสบของเซลล์ตับ และอาจมีค่า ALP สูงขึ้นเล็กน้อย
  • ภาพประจำตัว
  • pantip
  • โพสต์: 0
  • ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ 09 เม.ย. 2011 10:35 pm

Re: ระวังไขมันเกาะตับเป็นอย่างไร เสี่ยงมะเร็ง ตับแข็ง หรือไม

 โพสต์ pantip    5608

การวินิจฉัย
1. ตรวจเลือดดูการทำงานของตับจะพบว่า มีการอักเสบของค่า ALT และ AST สูงกว่าปกติ
2. ตรวจเลือดดูระดับน้ำตาล และไขมันอาจมีค่าสูงกว่าปกติ
3. ตัดโรคอื่นที่อาจเป็นสาเหตุของภาวะตับอักเสบเรื้อรังออกไป โดยประวัติ และการตรวจเลือด เช่น การดื่มสุรา รับประทานยา ไวรัสตับอักเสบบีหรือซี หรือบางรายอาจจำเป็นต้องเจาะตรวจชิ้นเนื้อตับ
4. ตรวจด้วยเครื่องอัลตราซาวด์ จะพบว่า ตับมีสีขาวขึ้นกว่าปกติ และอาจมีขนาดโตขึ้นเล็กน้อย ซึ่งเกิดจากการที่มีไขมันแทรกอยู่ในเซลล์ตับทั่วๆ ไป
5. ตรวจโดยวิธีเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ และเอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
6. เจาะชิ้นเนื้อตับมาตรวจลักษณะทางพยาธิวิทยา ซึ่งมีประโยชน์ช่วยบอกสาเหตุ และประเมินความรุนแรงของภาวะตับอักเสบ อาจจำเป็นต้องทำในผู้ป่วยบางราย

อันตรายของภาวะไขมันเกาะตับ

โดยรวมแล้วไขมันเกาะตับมักมีการพยากรณ์โรคที่ดี เราสามารถแบ่งความรุนแรงของภาวะไขมันเกาะตับได้เป็น 4 ระดับตามลักษณะทางพยาธิวิทยา

โดยผู้ป่วยส่วนมากจะอยู่ในระดับที่ 1 และ 2 ซึ่งไม่รุนแรง คือมีเพียงไขมันสะสมในเซลล์ตับอย่างเดียว หรืออาจมีการอักเสบที่ไม่รุนแรงร่วมด้วย ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักจะสบายดี แม้ว่าจะติดตามไปนาน 10-20 ปี

สำหรับผู้ป่วยกลุ่มที่มีภาวะไขมันเกาะตับในความรุนแรงระดับ 3 และ 4 คือ มีการอักเสบรุนแรง ทำให้เซลล์ตับบวม และอาจมีพังผืดในตับเกิดขึ้นร่วมด้วย

กลุ่มนี้ต้องระวังเพราะสามารถทำให้เกิดตับแข็งได้ 20-30% ในเวลา 10 ปี และทำให้เสียชีวิตจากโรคตับ หรือมะเร็งตับได้ประมาณ 9% ในเวลา 10 ปี โดยปัจจัยเสี่ยงที่พบในผู้ป่วยที่จะมีการดำเนินโรคที่รุนแรงนี้ได้แก่ อายุมาก อ้วนมาก หรือเป็นเบาหวานร่วมด้วย

การปฏิบัติตัวเมื่อรู้ว่าเป็น
ในปัจจุบันยังไม่มียาที่ได้ผลการรักษาดีมาก หรือหายขาดจากโรคนี้ ดังนั้นการรักษาที่สำคัญ และได้ประโยชน์มากที่สุดก็คือ การลดน้ำหนัก ซึ่งช่วยลดไขมันและการอักเสบในตับได้จริง โดยเฉพาะผู้ป่วยที่อ้วน

อีกทั้งยังมีผลดีต่อสุขภาพโดยรวมด้วย ค่อยๆ ลดน้ำหนักลงประมาณ 1-2 กิโลกรัมต่อเดือน จนน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ระวังการลดน้ำหนักที่เร็วเกินไปหรือลดอย่างผิดวิธี จะทำให้มีผลเสียต่อสุขภาพและทำให้ตับอักเสบแย่ลง

ควบคุมระดับน้ำตาล และระดับไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ สำหรับผู้ป่วยที่มีข้อบ่งชี้การใช้ยาลดไขมันจะสามารถลดระดับไขมันในเลือด รวมถึงความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดได้

แต่ยังไม่มีหลักฐานว่า ยากลุ่มนี้จะลดไขมัน หรือการอักเสบในตับได้ ดังนั้นจึงแนะนำให้เริ่มต้นด้วยการคุมอาหารร่วมกับการออกกำลังกายเสมอ

ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเหล้าและการใช้ยาที่ไม่จำเป็น โดยเฉพาะยาสมุนไพรที่เราไม่ทราบส่วนผสม ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อตับโดยตรง

การรักษา
เป้าหมายในการรักษาคือลดปริมาณไขมันและการอักเสบภายในตับ เพื่อป้องกันการเกิดพังผืด หรือตับแข็งในอนาคต ซึ่งยาที่รักษาในปัจจุบันส่วนใหญ่ยังอยู่ในขั้นศึกษาวิจัย

แต่มียาหลายตัวที่ใช้เวลาศึกษามานาน และชี้ว่ามีประโยชน์ ช่วยลดความผิดปกติของค่า ALT และ AST ในเลือด รวมถึงอาจลดปริมาณไขมันและการอักเสบภายในตับลงได้ แต่ยาแต่ละตัวก็อาจจะมีผลข้างเคียงได้และเหมาะสมกับผู้ป่วยกลุ่มต่างๆ กัน

การใช้ยาจึงควรอยู่ในความควบคุมดูแลของแพทย์ สำหรับผู้ป่วยที่เป็นตับแข็งแล้ว ก็ยังมีการรักษาอีกหลายอย่างที่ช่วยให้อาการดีขึ้น และป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้ ปัจจุบันการผ่าตัดเปลี่ยนตับในกรณีที่เป็นตับแข็งระยะสุดท้าย สามารถทำได้แล้วในประเทศไทย
บทความนี้คัดลอกจาก"โพสต์ ทูเดย์" มีสาระดีๆที่เป็นประโยชน์น่าสนับสนุน
 ระวังไขมันเกาะตับเป็นอย่างไร เสี่ยงมะเร็ง ตับแข็ง หรือไม่
 เว็บบอร์ดสุขภาพ ข่าวสารความรู้สุขภาพ กระทู้สุขภาพ เคล็ดลับสุขภาพ ถาม-ตอบปัญหาสุขภาพ
ตอบกลับโพสต์
เครื่องกดนับแยกชนิดเม็ดเลือดขาว Genius Count DiffCount