
แผลเป็นคีลอยด์เป็นก้อนเนื้อ พังผืด ไม่มีเปลือกหุ้ม ลักษณะก้อนไม่แน่นอน เกิดขึ้นที่หนังชั้นในและโตขึ้นจากการสะสมของสารคอลลาเจนในระหว่างการหายของแผล การเจริญเติบโตของมันใหญ่เกินขอบแผลเป็น มักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และมักพบในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก แผลเป็นคีลอยด์เป็นผิวหนังที่เกิดความผิดปกติ นูนหนาขึ้นมานอกขอบ แผลมักพบภายหลังการผ่าตัด เช่น หลังผ่าตัดไส้ติ่ง ผ่าตัดคลอดลูก ผ่าตัดช่องท้อง มักพบในแผลหลังผ่าตัดประมาณ 8 เดือนขึ้นไป แผลไฟไหม้ แผลจากสิวโดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังการเกิดสิวอักเสบที่บริเวณหน้าอก ไหล่ หลัง การแกะ บีบสิวมีโอกาสจะเกิดแผลเป็น คีลอยด์ยิ่งมากขึ้น
ในปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัดสาเหตุของแผลคีลอยด์ แต่มีข้อมูลบ่งชี้ว่าปัจจัยหลายอย่างมีผลต่อการเกิดแผลเป็นคีลอยด์ เช่น สภาพความชุ่มชืนความตึงของผิว ความช้ำของแผล แผลที่ใช้เวลาในการรักษานานกว่าสองสัปดาห์มีวัสดุแปลกปลอมค้างอยู่ในแผล เป็นต้น นอกจากนี้ ปัจจัยทางพันธุกรรมพบว่า ถ้ามีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นแผลเป็นคีลอยด์ง่าย โอกาสที่คนนั้นจะเป็นคีลอยด์ก็เพิ่มมากขึ้นด้วย ตามข้อมูลพบหมู่เลือดกรุ้ป A แผลเป็นคีลอยด์จะเปลี่ยนเป็นแผลกลายได้
ผู้ที่เป็นแผลเป็นคีลอยด์จะเกิดอาการคัน ปวด เจ็บ และมีความเครียดจากด้านจิตใจเนื่องจากความไม่สวยงามของแผลเป็น การเกาจะยิ่งทำให้แผลนั้นลุกลามใหญ่โตนูนขึ้นกว่าเก่าได้ บางคนจะมีอาการเจ็บตึงของแผลค่ะ
ส่วนการรักษาจากทางแพทย์นั้นจำแนกออกเป็น 2 วิธีการใช้การผ่าตัดและใช้ยาเตรียรอยด์เข้าไปบริเวณแผลเป็นโดยตรง แต่ก็มีข้อห้ามในการฉีดยาสเตียรอยด์ในผู้ป่วยที่กำลังตั้งครรภ์ เพราะว่ามีผลต่อทารก ผู้ป่วยที่เป็นสิวก็จะทำให้เป็นสิวมากขึ้น เป็นต้น ดังนั้นการฉีดพวกนี้ควรจะอยู่ภายในการแนะนำของแพทย์ หลังจากที่แผลหายดีแล้วการจะฉีดยาไทรแอมซิโนโลนอีก ต่อทุกๆ 1 เดือน เพื่อคุมแผลเป็นไม่ให้โตขึ้นอีก เพราะว่าถ้าฉีดมากเกินไปจะทำให้แผลมีรอยบุ๋มหรือรอยยุบอย่างถาวร ซึ่งจะดูไม่สวยเป็นโรคแทรกซ้อนอันหนึ่งของการฉีดสเตียรอยด์ จะมีลักษณะผิวหนังเป็นรอยขาวๆด่างๆ เมื่อแผลเป็นยุบเรียบร้อยแล้ว ก็อาจจะใช้แป้งทาหน้าที่เป็นสีเนื้อทาลงบนแผลเป็นนั้น ผิวสีก็จะกลมกลืนกับผิวเนื้อของผู้ป่วยค่ะ
ที่มา Samitivej Club