
นพ.อาคม ชัยวีระวัฒนะ ผอ.สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ปกครองควรเลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกับเด็ก โดยแบ่งตามช่วงวัยดังนี้กิจกรรมสำหรับเด็กวัยอนุบาล อายุ 3-6 ปี ต้องการกิจกรรมที่สนุกสนาน กระตุ้นประสาทสัมผัส และเสริมจินตนาการ กิจกรรมแนะนำ ได้แก่ การเล่นบทบาทสมมติ เพื่อช่วยฝึกการควบคุมตนเองและความยืดหยุ่นทางความคิด ศิลปะสร้างสรรค์ เช่น วาดภาพ ปั้นดินน้ำมัน พับกระดาษ ช่วยฝึกสมาธิและความคิดสร้างสรรค์ การเล่านิทานแบบมีส่วนร่วม จะช่วยพัฒนาภาษาและความจำเพื่อใช้งานการทำอาหารง่ายๆ ฝึกการทำตามขั้นตอนและการจดจำ การเล่นกลางแจ้ง เช่น วิ่งไล่จับ ว่ายน้ำ ปีนป่าย ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อและการประสานงาน เด็กวัยประถมศึกษา อายุ 6-12 ปี เป็นวัยที่เริ่มพัฒนาความสนใจเฉพาะด้านและทักษะทางสังคม กิจกรรมแนะนำ ได้แก่ การทำโครงงานตามความสนใจ เช่น ทดลองวิทยาศาสตร์ง่ายๆ ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ ช่วยฝึกการวางแผนและการแก้ปัญหา กิจกรรมกีฬาประเภททีม เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล วอลเลย์บอล ช่วยฝึกการทำงานร่วมกับผู้อื่นและการควบคุมอารมณ์ รู้แพ้รู้ชนะ รู้อภัย การเรียนดนตรี ช่วยฝึกสมาธิ ความจำ และความอดทน การเข้าค่ายกิจกรรม เช่น ค่ายศิลปะ ค่ายอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยฝึกทักษะสังคม การอยู่ร่วมกับผู้อื่นและการบริหารจัดการตนเองการเขียนบันทึกประจำวันหรือเรื่องราว ช่วยฝึกการจัดระเบียบความคิดและการแสดงออกทางภาษา และกิจกรรมสำหรับวัยรุ่น อายุ 13-17 ปี เด็กวัยนี้ต้องการความท้าทายและการยอมรับ กิจกรรมแนะนำ ได้แก่ กิจกรรมอาสาสมัครในชุมชน ช่วยเสริมสร้างความรับผิดชอบและความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น กีฬาผจญภัย เช่น ปีนผา ไต่เชือก ปั่นจักรยานเสือภูเขา ช่วยฝึกการตัดสินใจและการจัดการความเสี่ยง การเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มตามความสนใจ เช่น ชมรมดนตรี การแสดง ศิลปะ ช่วยค้นหาความถนัดและสร้างอัตลักษณ์ การวางแผนการท่องเที่ยวหรือกิจกรรมครอบครัว ช่วยฝึกการวางแผนและการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า การเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เช่น การเขียนโค้ด การถ่ายภาพ การทำอาหาร ช่วยเสริมความมั่นใจและการเรียนรู้ตลอดชีวิต
การใช้ช่วงปิดเทอมให้เกิดประโยชน์สูงสุดจะช่วยให้เด็กพัฒนาทักษะ EF ที่สำคัญสำหรับความสำเร็จในอนาคต ผู้ปกครองจึงมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนและจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ เพื่อให้เด็กกลับไปเริ่มต้นเทอมใหม่ด้วยความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ