กรมวิทย์ฯ เผยผลการเฝ้าระวังสายพันธุ์ของเชื้อไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทย
พบสายพันธุ์ A(H1N1) มากที่สุด แต่ไม่พบยีนที่บ่งชี้การดื้อยา
พบสายพันธุ์ A(H1N1) มากที่สุด แต่ไม่พบยีนที่บ่งชี้การดื้อยา

- ไข้หวัดใหญ่ชนิด A(H1N1) pmd09 พบสัดส่วน 44.12 % เป็นสายพันธุ์ A(H1N1) pdm09 clade 6B.1A.5a.2a.1 สัดส่วน 10.17 % และ clade 6B.1A.5a.2a สัดส่วน 89.83 %
- ไข้หวัดใหญ่ชนิด A(H3N2) พบสัดส่วน 33.82 % ซึ่งเป็นสายพันธุ์ A(H3N2) clade 3C.2a1b.2a.2a.3a.1 สัดส่วน 100 %
- ไข้หวัดใหญ่ชนิด B กลุ่ม Victoria สัดส่วน 12.5 % โดย 100% เป็นสายพันธุ์ B/Victoria clade VIA.3a.2


- ไข้หวัดใหญ่ชนิด A(H1N1) pdm09-like virus (6B.1A.5a.2a.1) พบในประเทศไทยช่วงมกราคม 2567 ถึงตุลาคม 2567 ในสัดส่วน 1.72 % ส่วน clade 6B.1A.5a.2a พบสัดส่วนมากกว่า 90% เช่นเดียวกับสถานการณ์ทั่วโลก
- ไข้หวัดใหญ่ชนิด A(H3N2) clade 3C.2a1b.2a.2a.3a.1 และสายพันธุ์ B/Victoria lineage-like virus พบในประเทศไทยสัดส่วน 100%

“การเฝ้าระวังการกลายพันธุ์ของเชื้อไข้หวัดใหญ่มีความสำคัญอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการดื้อยาและเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาและป้องกันโรค ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์ยังคงอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ทั้งนี้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ยังคงร่วมกับเครือข่ายเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง และขอเน้นย้ำว่า สายพันธุ์ของเชื้อไข้หวัดใหญ่ที่พบในประเทศไทยมีพันธุกรรมที่สอดคล้องกับสายพันธุ์วัคซีนที่ใช้ในประเทศไทย ขอให้ประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ทุกปี ควบคู่กับการดูแลป้องกันตนเอง ไม่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการไข้หวัด หากสงสัยว่ามีอาการป่วย แนะนำให้สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง”