
พญ.มิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า คนส่วนมากเมื่อมีสิวมักจะแสวงหาวิธีในการที่จะทำให้สิวหายเร็วขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการซื้อยาต่างๆ หรือเวชสำอางมาใช้เอง การพยายามขัดถูแรงๆ การใช้เครื่องสำอางมาปกปิดสิว และมักจะมีการแกะ หรือพยายามจะบีบสิว เพราะเชื่อว่าจะสามารถทำให้สิวหายเร็วขึ้นได้ ซึ่งการรักษาที่ไม่ถูกวิธีโดยเฉพาะการบีบแกะสิวนี้เองที่อาจจะก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้ เช่น อาจจะทำให้สิวมีการอุดตันหรืออักเสบติดเชื้อมากยิ่งขึ้น มีโอกาสเกิดรอยแดงหรือรอยคล้ำหลังเป็นสิวมากขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มโอกาสของการเกิดแผลเป็นตามหลังการเป็นสิว ทั้งแผลเป็นชนิดที่เป็นหลุมสิวและแผลเป็นนูนได้มากขึ้น ที่สำคัญคือ เมื่อมีการอักเสบหรือติดเชื้อบริเวณใบหน้าโดยเฉพาะบริเวณรอบจมูกและริมฝีปากด้านบน อาจจะทำให้การติดเชื้อมีการแพร่กระจายไปยังหลอดเลือดดำของใบหน้า และมีการแพร่กระจายของเชื้อไปที่ส่วนอื่นๆ ของร่างกายต่อไปโดยเฉพาะเข้าไปภายในสมอง ทำให้มีอาการมีไข้ ปวดศีรษะ ปวดตา ตามัว หรืออาจรุนแรงถึงขั้นสับสน ชักและหมดสติได้ โดยการเกิดการกระจายของเชื้อมีโอกาสพบได้มากขึ้นในคนที่มีปัญหาเรื่องภูมิคุ้มกันที่ไม่ดีอยู่เดิม
ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง ให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า การรักษาสิวที่ถูกวิธี ร่วมกับการงดแกะเกาขัดถู จึงมีความสำคัญต่อการรักษาสิวมาก ยาที่ใช้ในการรักษามีหลายชนิดทั้งยาทาและยารับประทาน ซึ่งการเลือกใช้ยาจะขึ้นอยู่กับลักษณะและความรุนแรงของโรค ปัจจัยอื่นๆ นอกเหนือจากการใช้ยาและการงดบีบแกะสิวที่คนเป็นสิวจะต้องคำนึงถึงคือ ควรล้างหน้าด้วยสบู่อ่อนๆ วันละ 2 ครั้ง ไม่ควรล้างหน้าบ่อยจนเกินไป ไม่ควรขัดถูบริเวณที่เป็นสิวด้วยความรุนแรง หลีกเลี่ยงสารระคายเคืองต่างๆ และควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตันมากขึ้น ทั้งนี้ การดูแลรักษาที่ถูกต้องและการพิจารณาเลือกใช้ยาที่เหมาะสมจะส่งผลถึงประสิทธิภาพและความสำเร็จในการรักษาเป็นอย่างมาก
ข่าว/ภาพ-สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์
