เราเชื่อว่าหลายๆคนคงเคยได้ยินชื่อน้ำมันตับปลาและน้ำมันปลามาก่อนหน้านี้ และคงทราบว่ามันมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายใช่มั้ยคะ แต่เราว่าคงมีแค่ไม่กี่คนที่ทราบว่าน้ำมันปลากับน้ำมันตับปลานั้นแท้จริงแล้วแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลยล่ะค่ะ
มาดูกันค่ะว่าน้ำมันปลากับน้ำมันตับปลาแตกต่างกันอย่างไร น้ำมันตับปลา เป็นน้ำมันที่สกัดมาจากตับของปลาทะเล เช่นปลาคอด ปลาแฮลิบัท หรือปลาเฮอร์ริ่ง ส่วนน้ำมันปลา (Fish oil) นั้นเป็นน้ำมันที่สกัดมาจากหัว หนัง เนื้อ และหางของปลาทะเล อาทิ ปลาซาร์ดีน ปลาเฮอร์ริ่ง ปลาแมคคอเรล ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาแอนโชวี่ นอกจากนั้นยังมีความแตกต่างในเรื่องของคุณค่าทางอาหารอีกด้วย โดยน้ำมันตับปลาจะอุดมไปด้วยวิตามินเอและวิตามิดี ส่วนน้ำมันปลานั้นจะอุดมไปด้วยโอเมก้า-3 และโอเมก้า-6 สรุปคือมันไม่เหมือนกันเลยค่ะ และประโยชน์ก็แตกต่างกันด้วย
มาถึงประโยชน์ของน้ำมันตับปลากันค่ะ น้ำมันตับปลานิยมรับประทานเพื่อเสริมวิตามินเอ ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมเยื่อบุผิวให้เป็นปกติ นอกจากนี้ยังมีวิตามินดีที่ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมรวมทั้งฟอสฟอรัสบริเวณลำไส้เข้าสู่ร่างกาย ทำให้การสร้างกระดูกเป็นไปอย่างปกติ มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องผิวหนังและดวงตาจากการถูกทำลายจากมลพิษ ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยนิยมใช้ในเด็ก วัยรุ่น และวัยทำงานทั่วไป
ต่อมาคือประโยชน์ของน้ำมันปลาค่ะ น้ำมันปลา (Fish Oil) มีกรดไขมันที่ร่างกายคนเราไม่สามารถสร้างเองได้ โดยเป็นกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว (Polyunsaturated Fatty Acid) หรือ PUFA 2 ชนิด ในกลุ่มโอเมก้า3 คือ
- Eicosapentaenoic acid (EPA) ทางการแพทย์พบว่ามีส่วนช่วยลดการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดีขึ้น ลดระดับไขมันในเลือด ลดภาวะ ความดันโลหิตสูง และลดอาการอักเสบต่างๆ ของร่างกาย จึงมีส่วนช่วยลดอาการข้อเสื่อม ปวดข้อหรือข้ออักเสบในคนไข้โรครูมาตอยด์ได้
- Docosahexaenoic acid (DHA) มีงานวิจัยชี้ว่าสามารถช่วยในด้านการพัฒนาสายตา บำรุงสมอง ระบบประสาท โดยเฉพาะในส่วนของความจำและการเรียนรู้ เพราะดีเอชเอจะเข้าไปเสริมสร้างการเจริญเติบโตและการทำงานของปลายประสาท ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวถ่ายทอดสัญญาณข้อมูลระหว่างเซลล์สมองด้วยกัน ทำให้สมองมีการพัฒนาอย่างเหมาะสมและเสริมสร้างการเรียนรู้ด้านต่างๆ ของร่างกาย จึงมีการนำดีเอชเอไปเสริม ในนมผงสำหรับทารก หรือนมสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ นอกจากนี้ ยังมีการให้ดีเอชเอในการรักษา โรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ที่พบในผู้สูงอายุด้วย
พอทราบถึงตัวประโยชน์ของทั้ง 2 ตัวแล้ว ทำให้เรามุ่งสนใจไปที่ตัวน้ำมันปลามากกว่าค่ะ โดยหลักๆอยากจะลองให้หลานสาวลองทานเพื่อบำรุงบำรุงพัฒนาของระบบสมอง และอยากให้คุณพ่อคุณแม่และแฟนทานเพื่อช่วยในเรื่องของระบบการไหลเวียนโลหิต และป้องกันการเกิดโรคหัวใจค่ะ
ก่อนเราจะไปซื้อ เราก็ลองหาข้อมูลน้ำมันปลายี่ห้อต่างๆ แล้วก็พบว่าของ Blackmores เป็นเจ้าที่บอกว่าใช้น้ำมันปลาที่มาจากปลาทะเลน้ำลึกขนาดเล็กที่มีคุณประโยชน์ครบถ้วนมากกว่า รวมถึงมีทั้งหมด 5 ตัวให้เลือกตามฟังก์ชั่นที่ต้องการ คือแบบ Fish Oil 1000,Odourless Fish Oil 1000, Omega Daily, Omega Me และ Omega Cardi เลยสงสัยว่ามันต่างกันยังไงแล้วแบบไหนที่เหมาะกับที่เราต้องการกันแน่
หลังจากไปหาข้อมูลมาก็พบว่า Fish Oil 1000 คือ น้ำมันปลาสูตรมาตรฐานทั่วไป Odourless Fish Oil 1000 คือน้ำมันปลาสูตรมาตรฐานที่มีการขจัดกลิ่นคาวปลาด้วยกลิ่นวานิลลาผสมเลมอนทำให้กินง่ายขึ้น Omega Daily คือมี โอเมก้า-3 เป็น 2 เท่าของสูตรมาตรฐาน เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยชอบทานปลาและมีการลดกลิ่นคาว Omega Memo เป็นสูตรที่มี DHA มากกว่าสูตรมาตรฐาน 4 เท่า ช่วยบำรุงในเรื่องของความจำได้ดี ส่วน Omega Cardi จะมี EPA เป็น 2 เท่าของสูตรมาตรฐาน เน้นในเรื่องของการป้องกันโอกาสเกิดโรคหัวใจและควบคุมความดันเลือดให้ปกติค่ะ
เราอยากให้หลานสาวทานน้ำมันปลา เพราะแกไม่ค่อยชอบทานปลาเลยค่ะ เวลาให้แกทานจะชอบอมข้าว บางทีถ้าปลามีกลิ่นเยอะหน่อยแกก็คายอ่ะค่ะ กลัวแกจะขาดโอเมก้า-3 ที่จำเป็นต่อร่างกาย เราเลยลองถามคุณหมอเด็กที่พาหลานสาวไปหาประจำ คุณหมอบอกว่าสามารถทานได้ตั้งแต่อายุ 6 ขวบขึ้นไป แกเลยแนะนำว่าลองให้หลานทานเป็นตัว Omega Me ดีมั้ยน่าจะเหมาะ เพราะกำลังโตจะได้ช่วยบำรุงในเรื่องของความจำ แรกๆแกก็ไม่ยอมทานนะคะ แต่พอบังคับไปซักพักแกก็เริ่มโอเคทานได้ค่ะ เราล่อด้วยน้ำผึ้งมะนาวของโปรดแกค่ะ บอกว่าถ้าวันไหนไม่ทานน้ำมันปลาเราจะไม่ให้แกดื่มน้ำผึ้งมะนาว (แกชอบน้ำผึ้งมากค่ะ) ส่วนสำหรับตัวเองและแฟนเราแค่อยากทานบำรุงร่างกายทั่วๆไปเราเลยซื้อตัว Fish Oil 1000 มาทานกับแฟน แต่แฟนรู้ว่ามีอีกสูตรที่ไม่มีกลิ่นปลาแล้วอยากลองกินมากกว่าเลยบอกให้เรากินอันเดิมไป เค้าจะไปลองกินแบบไม่มีกลิ่นคาว เราเลยต้องทานคนเดียว แล้วซื้อตัว Odourless Fish Oil 1000 ให้เค้าแทน(เพลียใจไปอีกค่ะ แฟนเรื่องเยอะ) เอาจริงเราว่าสูตรธรรมดาก็ไม่ได้เหม็นคาวอะไร แต่ถ้าเป็นคนชอบเรอเหมือนแฟนเราก็อาจจะชอบสูตรไม่มีกลิ่นคาวมากกว่า ส่วนสำหรับคุณพ่อคุณแม่เราซื้อเป็นตัว Omega Cardi ให้ท่านทานค่ะ เพราะน่าจะเหมาะกับผู้สูงอายุมากกว่า


เรื่องความเข้าใจผิดเกี่ยวกับน้ำมันปลายังมีในเรื่องของ น้ำมันปลาไม่เหมาะกับผู้ที่แพ้อาหารทะเล แต่ที่จริงแล้วการแพ้อาหารทะเลเกิดจากการแพ้โปรตีนในอาหาร ส่วนน้ำมันปลาเป็นการสกัดเอาแต่ไขมันชั้น ดีแบบบริสุทธิ์ไม่มีการเจือปนของสารใดๆ รวมไปถึงโปรตีนด้วย (สามารถสกัดเอาโปรตีนเพียงบางชนิด) ดังนั้นคนที่แพ้อาหารทะเลจึงมั่นใจได้ว่าสามารถรับประทานได้ค่ะ
จบกันไปแล้วนะคะสำหรับหัวข้อ น้ำมันปลาไม่ใช่น้ำมันตับปลา และความเข้าใจผิดๆที่หลายๆคนอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน ยังไงเราก็หวังว่ากระทู้เล็กๆของเราอันนี้จะสามารถให้ความรู้และเป็นประโยชน์กับใครหลายๆคนนะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมที่ให้ความรู้เราจาก
: http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/678187
: http://www.thaihealth.or.th/Content/325 ... B8%A3.html
: https://www.blackmores.co.th/%E0%B8%9C% ... %E0%B9%8C/