ล่าสุด มีการเปิดตัวนวัตกรรมการตรวจมะเร็งปากมดลูกด้วยตนเองเป็นครั้งแรกในประเทศไทย อุปกรณ์นี้มีชื่อว่า ?เดลฟี สกรีนเนอร์? มีลักษณะเป็นแท่งพลาสติกขนาดพอๆ กับปากกา ด้านหนึ่งจะมีปุ่มกด ใกล้กันจะมีห่วงไว้สำหรับใช้นิ้วสอดเพื่อประคองด้ามตรวจ ส่วนปลายอีกด้านจะมีแถบสีเงิน ซึ่งด้านนี้จะใช้สอดเข้าไปในช่องคลอด เพื่อให้ด้ามตรวจปล่อยน้ำประมาณ 1 ซีซีเข้าไปภายใน ถือเป็นการเก็บเซลล์เนื้อเยื่อบุมดลูก หรือไวรัส HPV (ตัวการก่อมะเร็งปากมดลูก) ที่เกาะอยู่บริเวณช่องคลอด ต่อมาตัวด้ามจะดูดน้ำดังกล่าวกลับเข้าด้ามตรวจ
นวัตกรรม ?เดลฟี สกรีนเนอร์? มีลักษณะเป็นแท่งพลาสติกขนาดเท่าปากกา โดยด้านบนนั้นจะมีลักษณะเป็นห่วงและมีปุ่มกดบนห่วง ซึ่งวิธีการใช้นั้นให้นั่งถ่างขาในลักษณะท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน จากนั้นค่อยๆ สอดแท่งพลาสติกดังกล่าวเข้าไปในช่องคลอด โดยที่นิ้วหัวแม่มือสอดเข้าไปห่วง แล้วใช้นิ้วชี้กดไปที่บริเวณปุ่มด้านบนห่วง พร้อมๆ กับการนับ 1 2 3 จากนั้นน้ำเปล่าที่บรรจุอยู่ในแท่งอุปกรณ์ดังกล่าวประมาณ 1 ซีซีจะไหลเข้าไปยังช่องคลอด เพื่อเข้าไปนำเซลล์เนื้อเยื่อบุมดลูก หรือไวรัส HPV ที่เกาะอยู่บริเวณช่องคลอด โดยแท่งพลาสติกจะดูดของเหลวเหล่านี้ไปเก็บไว้ แล้วถ่ายเทของเหลวใส่ขวดเก็บตัวอย่าง นำส่งแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ตรวจในห้องปฏิบัติการ รอผลตรวจราว 1 สัปดาห์เพื่อส่งตรวจยังห้องปฏิบัติการที่สามารถตรวจหาเชื้อไวรัสดังกล่าวต่อไป หรือส่งทางไปรษณีย์ก็ทำได้เช่นกัน
ความแตกต่างระหว่าง ?เดลฟี สกรีนเนอร์? กับอุปกรณ์ทดสอบหามะเร็งปากมดลูกก่อนหน้านี้ก็คือ อุปกรณ์ตรวจคัดกรองมะเร็งก่อนหน้านี้จะมีลักษณะคล้ายกับแปรงล้างขวดนม ที่อาจทำให้เกิดอาการบาดเจ็บในขณะทดสอบ หรือแม้แต่การตรวจหาเซลล์มะเร็งปากมดลูกด้วยการตรวจแปปสเมียร์ที่เรียกได้ว่าดีที่สุด แต่อาจติดข้อจำกัดที่ต้องทำโดยแพทย์ ซึ่งสร้างความไม่สะดวกให้กับผู้ที่ต้องการตรวจ
สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่ควรทดสอบหามะเร็งปากมดลูกด้วยตนเอง คือกลุ่มของผู้หญิงไทยที่มีอายุระหว่าง 25-65 ปี หรือพูดง่ายๆ ว่ากลุ่มผู้หญิงที่เริ่มมีเพศสัมพันธ์ และยังไม่เคยตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยการตรวจแบบตรวจแปปสเมียร์มาก่อน (คิดเป็นอัตราส่วนร้อยละ 70) สามารถใช้อุปกรณ์ดังกล่าวได้ และควรทดสอบหามะเร็งปากมดลูกด้วยตนเองอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
?เดลฟี สกรีนเนอร์? เป็นเครื่องมือที่ใช้ได้ครั้งเดียว โดยจะต้องนำอุปกรณ์ของเหลวที่ใช้งานแล้ว ส่งไปตรวจที่ห้องแลปของโรงพยาบาลรามาธิบดี ซึ่งทั้งหมดนี้มีค่าใช้จ่าย 2,500 บาท ซึ่งราคาใกล้เคียงกับการตรวจเชื้อที่โรงพยาบาล ซึ่งอยู่ระหว่าง1,600 - 3,000 บาท ในขณะที่การฉีดวัคซีนป้องกันโรคมีราคาประมาณ 7,000 บาท
มะเร็งปากมดลูก เป็นโรคมะเร็งที่พบบ่อยและเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตสูงสุดของผู้หญิงไทย ในช่วงวัย 25-65 ปี ทั้งยังมีอัตราการตรวจพบผู้ป่วยรายใหม่ปีละ 10,000 ราย และมีอัตราเสียชีวิต 5,000 รายต่อปี หรือร้อยละ 50 ซึ่งหมายความว่า ในแต่ละวันจะมีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งปากมดลูกถึง 14 ราย
แม้อุปกรณ์จะมีความแม่นยำในการดักจับเชื้อไวรัส HPV ได้ถึง 96-99 เปอร์เซ็นต์ ก่อนส่งผลตรวจไปยังห้องปฏิบัติการ แต่ นพ.วิชัยย้ำว่า ?การตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูกที่ดีนั้นควรไปพบแพทย์ เพราะนอกจากโรคร้ายดังกล่าวแล้วยังสามารถพบโรคอื่นๆ เช่น โรคเนื้อเยื่อเจริญผิดที่ หรือช็อกโกแลตซีสต์ หรือมะเร็งรังไข่ ฯลฯ ก็เป็นได้ ดังนั้นหากตรวจพบความผิดปกติเหล่านี้ตั้งแต่เนิ่นๆ จะทำให้การรักษาได้ผลดียิ่งขึ้น? นอกจากนี้หากลดปัจจัยการเกิดมะเร็งปากมดลูก 3 ข้อต่อไปนี้ ก็จะช่วยลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูก และลดการเสียชีวิตของผู้หญิงไทยลงได้ โดยเริ่มจาก
1.ลดพฤติกรรมเสี่ยง เนื่องจากการที่เราทราบว่ามะเร็งปากมดลูกเกิดจากเชื้อไวรัสเอชพีวี ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ดังนั้นจึงไม่ควรเปลี่ยนคู่นอนบ่อย และไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร
2.ใช้ถุงยางอนามัย
3.ฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก จะช่วยป้องกันได้ 70-80%?
อ่านรายละเอียดข่าวสารเกี่ยวกับ เดลฟี สกรีนเนอร์ และ การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก เพิ่มเติมได้ที่
ประชาชาติธุรกิจ - ไทยโพสต์ - เดลินิวส์
