Skip ไปที่เนื้อหา

สิวอักเสบ เกิดจากอะไร มีวิธีรักษาอย่างไร

iBeauty Forums | เว็บบอร์ดความงาม เคล็ดลับความงาม เว็บบอร์ดเครื่องสำอาง ผิว แฟชั่น นวด สปา
  • เนิร์ด
  • โพสต์: 0
  • ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร 12 เม.ย. 2022 11:46 am

สิวอักเสบ เกิดจากอะไร มีวิธีรักษาอย่างไร

 โพสต์ เนิร์ด    447

สิวอักเสบ
รูปลักษณ์ของใบหน้ามีผลกระทบต่อความมั่นใจ และการเข้าสังคมของคนทั่วไป หากเกิดมีสิวอักเสบเต็มหน้าจะส่งผลให้เราขาดความมั่นใจ ทำให้ไม่กล้าเข้าสังคม และรู้สึกเขินอาย ซึ่งสิวอักเสบเป็นปัญหาผิวหนังที่พบบ่อย และเกิดขึ้นกับทุกเพศทุกวัย แต่สิวสามารถรักษาให้หายได้ อีกทั้งยังมีหลายวิธีที่จะช่วยจัดการลดสิวอักเสบ บทความนี้จะมาแนะนำสาเหตุสิวอักเสบ วิธีการรักษา รวมไปถึงวิธีการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้เกิดสิวและเพิ่มความมั่นใจมาดูกัน

สิวอักเสบ คืออะไร?
สิวอักเสบ คือ สิวที่มีการสิวอักเสบแดง มักมีอาการเจ็บหรือแสบร้อน เกิดขึ้นเมื่อสิวอักเสบอุดตัน (Comedones) พัฒนาไปสู่ระยะที่รุนแรงขึ้น ซึ่งมีแบคทีเรีย Propionibacterium acnes (P. acnes) เจริญเติบโตในรูขุมขนและสร้างกรดไขมัน กระตุ้นให้เกิดการอักเสบ ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต้องตอบสนอง ต่อสู้กับแบคทีเรีย P. acnes จนทำให้เกิดการอักเสบ บวม แดง

โดยสิวอักเสบ (Inflammatory acne หรือ Papulopustular acne หรือ Papules) มีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดงขนาดเล็ก เมื่อสัมผัส จะทำให้รู้สึกเจ็บ จำเป็นต้องได้รับการรักษาสิวอักเสบอย่างถูกต้อง หลีกเลี่ยงการกด แกะ แคะ เกา เพราะอาจจะทำให้สิวอักเสบรุนแรงกว่าเดิมได้

ประเภทของสิวอักเสบมีอะไรบ้าง
สิวอักเสบไม่มีหัว
ก่อนจะศึกษาวิธีรักษาสิวอักเสบนั้น เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับสิวอักเสบประเภทต่าง ๆ เสียก่อน เพื่อให้สามารถรักษาสิวอักเสบได้อย่างถูกต้อง
  • สิวอักเสบชนิดตุ่มแดง (Papules) มีลักษณะสิวอักเสบเป็นตุ่มนูนแดงขนาดเล็ก เป็นสิวไม่มีหัวหนอง ขนาดไม่เกิน 0.5 เซนติเมตร มีอาการสิวอักเสบไม่มีหัวเจ็บเมื่อสัมผัส เกิดจากการอักเสบของรูขุมขนที่มีสิวอุดตัน มักเป็นสิวอักเสบระยะเริ่มแรก
  • สิวอักเสบหัวหนอง (Pustules) เป็นสิวอักเสบมีหัว มีลักษณะคล้ายสิวตุ่มแดง มีหัวหนองสีเหลือง แต่มีขนาดใหญ่กว่า ฐานบวมแดง และมีหัวหนองสีขาว ขนาด 0.5 - 1 เซนติเมตร จะทำให้รู้สึกเจ็บและบวม เกิดจากการอักเสบของรูขุมขนที่มีสิวอักเสบอุดตัน และมีการติดเชื้อแบคทีเรีย
  • สิวอักเสบแดงเป็นก้อน (Nodules) มีลักษณะสิวอักเสบเป็นตุ่มแข็งขนาดใหญ่ ฝังลึกลงไปใต้ผิวหนัง มักเป็นสิวบวมแดงไม่มีหัวหนอง ขนาด 1 - 3 เซนติเมตร ทำให้รู้สึกเจ็บปวด สิวอักเสบไม่มีหัวเกิดจากการอักเสบอย่างรุนแรงของรูขุมขนที่มีสิวอักเสบอุดตัน
  • สิวอักเสบชนิดหัวช้าง (Acne Conglobata) มีลักษณะสิวอักเสบเป็นก้อนนูนแดงขนาดใหญ่ หัวสิวแข็ง เป็นสิวอักเสบใต้ผิวหนัง ที่มีหนอง และเลือดปะปนกันอยู่ จึงอาจจะต้องรับประทานยาแก้อักเสบช่วยรักษา อีกทั้งยังมีขนาดใหญ่ จึงอาจจะทิ้งรอยสิวไว้ด้วยเช่นกัน
  • สิวอักเสบชนิดซีสต์ (Cysts) มีลักษณะสิบอักเสบคล้ายสิวหัวช้าง แต่มีขนาดใหญ่กว่าและมีหนองอยู่ภายใน ขนาดมากกว่า 3 เซนติเมตร สร้างความรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก เกิดจากการอักเสบอย่างรุนแรงของรูขุมขนที่มีสิวอักเสบอุดตัน
ระดับความรุนแรงของสิวอักเสบนั่นไม่เพียงแค่ลักษณะของสิวเท่านั้น แต่ระดับความรุนแรงของการอักเสบก็มีผลต่อการพิจารณาขั้นตอนการรักษาสิวอักเสบด้วยเช่นกัน โดยแบ่งระดับความรุนแรงของสิวอักเสบได้เป็น 3 ระดับ ดังนี้
  • สิวอักเสบระดับไม่รุนแรงมีปริมาณสิวเล็กน้อย และมีอาการอักเสบของสิวเพียงไม่กี่เม็ดเท่านั้น สิวระดับน้อย (Mild) ส่วนใหญ่จะเป็นสิวหัวขาว สิวหัวดำ สิวชนิดตุ่มนูนแดง และสิวหัวหนอง
  • สิวอักเสบระดับปานกลางในบริเวณรอบ ๆ มีสิวที่อักเสบรวม ๆ แล้ว ประมาณไม่เกิน 10 จุด อาจจะมีสิวหนองอักเสบปะปนรวมด้วย คือการเป็นสิวอักเสบอุดตันและสิวอักเสบมีหนองจำนวนมาก มักจะเป็นบริเวณใบหน้า
  • สิวอักเสบระดับรุนแรง สิวอักเสบที่สะสมไว้เป็นระยะเวลานานแล้ว เป็นก้อนแข็งขนาดใหญ่ มีเลือด และหนองปะปนอยู่ภายในตัวสิวมาก ทำให้มีการอักเสบระดับรุนแรง ทำให้อาจจะเกิดรอยช้ำร่วมด้วย มีสิวอักเสบและสิวหัวหนองจำนวนมาก รวมถึงมีสิวเป็นหนองขนาดใหญ่ สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งบริเวณใบหน้า แผ่นหลังและบริเวณอก
ปัจจัยอะไรที่ทำให้เกิดสิวอักเสบ
สิวอักเสบเกิดจากหลาย ๆ ปัจจัย ด้วยสิวอักเสบมีความอ่อนไหวและบอบบาง เมื่อมีเชื้อแบคทีเรียมากระตุ้น จึงทำให้เกิดอาการอักเสบได้ง่าย
  • ฮอร์โมนเพศชาย (Androgen) กระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันมากขึ้น ทำให้เกิดการหลั่งไม่สมดุล กระตุ้นให้เกิดการอักเสบภายในร่างกายซึ่งอาจทำให้มีสิวอักเสบใต้ผิวหนัง สิวอักเสบที่หลัง เป็นต้น
  • สิวอักเสบเกิดจากพันธุกรรมด้านผิวแพ้ง่ายก็สามารถได้รับการสืบทอดทางพันธุกรรมได้ ทำให้ผิวถูกกระตุ้นได้ง่ายในการอักเสบ
  • อาหารที่มีน้ำตาลสูง ผลิตภัณฑ์นม ไขมันอิ่มตัว ไขมันสูง อาจกระตุ้นสิวอักเสบ รวมถึงอาหารทอด
  • ไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิต เช่น ความเครียด การรับประทานอาหาร การกระตุ้นให้ผิวเกิดสิวอักเสบหัวแข็งอักเสบ หรือ สิวอักเสบที่แก้ม และสิวอักเสบที่จมูกได้นั่นเอง
  • สิวอักเสบเกิดจากสภาพแวดล้อมฝุ่น เช่น ควัน มลพิษ
  • การสัมผัสใบหน้า จะเป็นการเพิ่มโอกาสการติดเชื้อแบคทีเรีย เกิดสิวอักเสบที่หน้าผาก สิวอักเสบที่คาง หรือสิวอักเสบจมูกได้
  • การรับประทานยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด ยาสเตียรอยด์ ลิเทียม เป็นส่วนกระตุ้นให้ผิวสกปรก และทำให้ผิวระคายเคืองเป็นสิวอักเสบเม็ดใหญ่
  • การสัมผัสใบหน้า การแคะ แกะ เกา กด บีบสิวแบบไม่ถูกวิธี จะทำให้หน้าสิวอักเสบบริเวณนั้นได้รับบาดเจ็บ เกิดการอักเสบขึ้นมาได้
  • ยาบางประเภทอย่าง Anabolic Steroids Corticosteroids Corticotropin Phenytoin Lithium Isoniazid Vitamin B6 และ B12 อาจมีผลข้างเคียง ทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองและเป็นสิวอักเสบเรื้อรัง
วิธีในการรักษาสิวอักเสบ
รักษาสิวอักเสบ
การรักษาสิวอักเสบ มีด้วยกันหลายวิธีขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสิว ได้แก่ 1. การใช้ยาแต้มสิว ซึ่งเป็นยาที่มี Benzoyl Peroxide, Retinoids, Salicylic Acid และ Antibiotics 2. การกินยาซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะ ยาฮอร์โมน (สำหรับผู้หญิง) และ 3. รักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยการเลเซอร์และการฉีดสิว ซึ่งในการรักษาสิวแต่ละมีรายละเอียดดังนี้

1. ยาทาภายนอกสำหรับรักษาสิวอักเสบ สิวอักเสบรักษาด้วยการยาทาถือเป็นการรักษาสิวที่ได้รับความนิยมที่สุด เนื่องจากสะดวก และมีผลข้างเคียงน้อยกว่ายากิน แต่เหมาะสำหรับสิวที่มีความรุนแรงปานกลางถึงมาก โดยแนะนำให้ใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์และเภสัชกรเท่านั้น สารสำคัญที่พบได้ในยาทาสำหรับรักษาสิวอักเสบ ได้แก่
  • ยากลุ่ม Benzoyl peroxide มีสรรพคุณลดการอักเสบ ช่วยผลัดเซลล์ผิวเพื่อลดสิวอักเสบอุดตันและฆ่าแบคทีเรีย P.acnes แต่อาจมีอาการข้างเคียง เช่น ผิวแห้งลอกเป็นขุย คัน แสบ โดยเฉพาะในช่วงแรกที่ทายา ข้อแนะนำ คือควรใช้ก่อนทำความสะอาดผิวหน้า 5-15 นาที แล้วล้างออก
  • ยาทาปฏิชีวนะ หรือ ยาฆ่าเชื้อ (Topical antibiotics) เป็นยาปฏิชีวนะที่มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ลดการอักเสบของสิว ไม่แนะนำให้ใช้รักษาสิวเป็นยาเดี่ยวเพราะแบคทีเรียจะดื้อยาอย่างรวดเร็ว มีข้อแนะนำคือในระยะแรกควรใช้ร่วมกับยาทาอื่น ๆ และควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือเภสัชกร
  • ยาทาเรตินอยด์ (Retinoid อนุพันธ์ของกรดวิตามินเอ) ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวหนังเป็นวิธีลดสิวอักเสบ ลดสิวอุดตันสามารถใช้ร่วมกับการรักษาสิวทุกระยะ และใช้ทาป้องกันการเกิดสิวอุดตันได้ด้วย แต่มีข้อแนะนำคือมีผลข้างเคียงทำให้ผิวลอก คัน แดง และทำให้ผิวหน้าบางลง จึงต้องทาครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกแดดและห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์
2. สิวอักเสบรักษาได้ด้วยการใช้ยาทาน แก้อาการสิวอักเสบคือยารับประทานสำหรับรักษาสิวอักเสบ ในกรณีที่เป็นสิวอักเสบปานกลางถึงรุนแรง หรือเมื่อการรักษาเฉพาะที่ไม่ได้ผล และต้องสั่งจ่ายหรือรับประทานตามคำสั่งแพทย์เท่านั้น
  • ยาปฏิชีวนะแบบรับประทาน ยาปฏิชีวนะแบบรับประทาน เช่น tetracycline, doxycycline และ erythromycin ช่วยควบคุมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและลดการอักเสบ โดยปกติจะรับประทานเป็นระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการดื้อยาปฏิชีวนะ
3. การรักษาสิวอักเสบทางการแพทย์ การรักษาสิวอักเสบทางการแพทย์ จะใช้ในกรณีที่ผู้ที่เป็นสิวไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น ๆ หรือการรักษาด้วยวิธีอื่นเกิดผลข้างเคียง โดยมีวิธีการต่าง ๆ ดังนี้
  • การลอกผิวด้วยสารเคมีโดยใช้สารละลายเคมีกับผิวหนัง ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวและกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว การรักษานี้สามารถช่วยเปิดรูขุมขน ลดการอักเสบ และซ่อมแซมฟื้นฟูผิวโดยรวมให้ดีขึ้นหลังจากเซลล์ผิวซ่อมแซมตัวเอง
  • การรักษาด้วยแสงหรือเลเซอร์การบำบัดด้วยแสง (PDT) เป็นการใช้แสงกระตุ้นผิวหนัง ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบ PDT สามารถรักษาสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่อาจต้องทำการรักษาหลายครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ
  • การฉีดยารักษาสิวโดยตรงจะช่วยลดการอักเสบและกระตุ้นการรักษา การรักษาด้วยการฉีดสิว ควรทำโดยแพทย์เฉพาะทางเท่านั้น เนื่องจากต้องคำนวณปริมาณการใช้และต้องฉีดโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
เมื่อรักษาสิวอักเสบดีขึ้นแล้ว การดูแลผิวเพื่อให้ผิวหน้ากระจ่างใส ไม่ให้มีอาการสิวอักเสบเกิดขึ้นง่าย ๆ มีวิธีดังนี้
  • ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น
  • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่อ่อนโยน ไม่ระคายเคือง
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า
  • ทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผักผลไม้
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • จัดการความเครียด
ดังนั้น การรักษาสิวอักเสบจำเป็นต้องใช้เวลาและความอดทน ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิว และมีข้อควรระวัง คือ ไม่ควรแกะหรือบีบสิว ไม่ควรใช้ยาแต้มสิวโดยไม่ปรึกษาแพทย์ และควรทาครีมกันแดดเป็นประจำ

สรุปเกี่ยวกับสิวอักเสบ
การดูแลตนเอง รักษาสิวอักเสบด้วยตัวเองเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดสิวอักเสบควรทำความสะอาดผิวหน้าตามขั้นตอน เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน เหมาะกับสภาพผิว ผลัดเซลล์ผิว บำรุงผิว ทาครีมกันแดด หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า ล้างมือให้สะอาดก่อนสัมผัสใบหน้า ทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียดด้วยการ ออกกำลังกาย ฟังเพลง อ่านหนังสือ เพื่อรักษาอาการสิวอักเสบรักษาธรรมชาติแต่หากสิวยังอักเสบควรปรึกษาแพทย์ผิวหนัง ปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับคำแนะนำในการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
 สิวอักเสบ เกิดจากอะไร มีวิธีรักษาอย่างไร
 iBeauty Forums | เว็บบอร์ดความงาม เคล็ดลับความงาม เว็บบอร์ดเครื่องสำอาง ผิว แฟชั่น นวด สปา
เครื่องกดนับแยกชนิดเม็ดเลือดขาว Genius Count DiffCount